เวลา 7.00 น. พรรคเพื่อชาติลงพื้นที่กรุงเทพมหานคร ช่วย นายสนองพล การะเกษ ผู้สมัครส.ส.พรรคเพื่อชาติ เขตลาดกระบัง เบอร์ 13 หาเสียง นำโดย ดร.รยุศด์ บุญทันโฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง พรรคเพื่อชาติ คณะผู้บริหาร และสมาชิกพรรคเพื่อชาติ รวมถึง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ โดยได้มีการขึ้นรถแห่ไปตามหมู่บ้าน และเดินตลาด อาทิ ตลาดบ้านเอื้ออาทร ร่มเกล้า ตลาดเกรียงไกร เคหะร่มเกล้า โซน 11 และโซน 12 ตลาดกลาง เขตลาดกระบัง คลีนิกหมอเด่น ถนนเคหะร่มเกล้า โซนหลังคาแดง ตลาดบวร เป็นต้น
ทั้งนี้ นายจตุพร ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยกล่าวถึงกรณีที่กกต.อนุญาตให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. สามารถปราศรัยหาเสียงให้กับพรรคพลังประชารัฐได้แล้วว่า ความจริงพลเอกประยุทธ์ไม่ได้ไปปราศรัยก็ได้เปรียบมากกว่าพรรคอื่นอยู่แล้ว เพราะทุกวันศุกร์ ท่านก็ได้ออกโทรทัศน์ทุกช่องยกเว้นช่องต่างประเทศ ไม่นับเวลาเดินหน้าประเทศไทยทุก 18:00 น. นั่นยิ่งกว่าการปราศรัยใด ๆ สิ่งที่ตนเป็นห่วงคือ เรื่องสถานะของพลเอกประยุทธ์ จะนำมาสู่การเลือกตั้งโมฆะ เหตุใด กกต. จึงไม่นำเรื่องนี้มาวินิจฉัยก่อน เพราะหากมีการวิฉัยภายหลัง วันที่ 24 มีนาคม 2562 ว่าพลเอกประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หากปล่อยให้เดินไปถึงวันดังกล่าว แล้วมาวินิจฉัยเรื่องสถานะของพลเอกประยุทธ์ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีคุณสมบัติเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ก็จะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้
นายจตุพร กล่าวอีกว่า ความจริงแล้วไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เพราะเรื่องข้อกฎหมายนไม่ได้ต่างจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติ ส่วนจะวินิจฉัยอย่างไรก็ว่าไปตามนั้นและควรจะปฏิบัติต่อพรรคพลังประชารัฐเช่นเดียวกับพรรคไทยรักษาชาติเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อ กกต. ปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ อยู่ในบัญชีนายกของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้เจ้าหน้าที่รัฐมาทำหน้าที่ ดังนั้นรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ก็ออกแบบไว้ มีความหลากหลายมาก ยกตัวอย่างเช่น 4 รัฐมนตรีที่เป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ที่ลาออกจากรัฐมนตรี ไม่สามารถลงส.ส.ได้แม้แต่คนเดียว ดังนั้นพลเอกประยุทธ์วันนี้ ถามใครก็ได้ว่าท่านเป็นบุคคลสาธารณะ หรือท่านเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ การเป็นบุคคลสาธารณะก็เป็นแบบตน ไม่มีเงินเดือน ไม่มีอำนาจการบัญชาการ สั่งราชการ ไม่มีเครื่องแบบ พลเอกประยุทธ์มีเครื่องแบบ มีเงินเดือน ครบถ้วนทุกประการ ที่เข้าคุณสมบัติเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ การพยายามอธิบายว่าเป็นชั่วคราว ตนบอกว่า จะชั่วคราวหรือชั่วถาวร ไม่ได้มีอะไรต่างกันเลย ดังนั้นแม้ว่าพลเอกประยุทธ์ จะตัดสินใจลาออกในวันนี้ก็ตาม แต่ความผิดสำเร็จขึ้นมาแล้ว เพราะ ถ้าประชาชนตัดสินใจ ไปเลือกพรรคพลังประชารัฐเพราะพลเอกประยุทธ์ ถือว่าความผิดได้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณี นางอรวรรณ ชูดี พิธีกรรายการดีเบตช่อง 9 ถูกบอร์ด อสมท. ปลดฟ้าผ่า หลังถูกกล่าวหารูปแบบรายการที่จัด เป็นการชี้นำและโจมตีรัฐบาล ว่า คนไทยฟังพลเอกประยุทธ์พูดฝ่ายเดียว มาตั้ง 5 ปี แต่ว่าคุณอรวรรณพึ่งจัดรายการในกรณีนี้ทำไมทนไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดเวลานี้ พยายามหยิบยกคำว่าเผด็จการรัฐสภามาพูดถึง แล้ว การที่พรบ.ไซเบอร์ ผ่านโดยไม่มีไม่มีเสียงคนคัดค้านแม้แต่เพียงเสียงเดียว ภายใต้สภาที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ที่ไม่มีฝ่ายค้าน ก็จะมีสภาพเหมือนวุฒิสภา ซึ่งก็จะไปโหวตเลือกพลเอกประยุทธ์ทั้ง 250 คน ไม่มีใครคิดว่าจะมีเสียงแตกแต่อย่างใด เพราะว่า ในวันนี้ เรื่องของพลเอกประยุทธ์ เหมือนถูกวางเพาะเชื้อเอาไว้ เพื่อทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ประชาชนซึ่งอยู่ในท่ามกลางความยากลำบาก วันนี้ตนมาเขตร่มเกล้า ลาดกระบัง เพื่อเสนอ คุณสนองพล การะเกษ รับใช้พี่น้อง พบว่า บางตลาดคนเงียบเหงา บางตลาดมีคนบ้าง แต่เมื่อถามพ่อค้าแม่ค้าแล้ว ทุกคนมีความยากลำบากกันทั้งสิ้น ประชาชนมีความคาดหวังว่า หลังเลือกตั้งจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ตนเองเห็นว่า การเลือกตั้งหากมีการทิ้งติ่งเรื่องของพลเอกประยุทธ์เอาไว้ วันไหนวินิจฉัยสถานะเรื่องราวจะไม่ได้แตกต่างไปจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติ
“เพราะเป็นเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่มิต้องพิสูจน์อะไรกันอีก พลเอกประยุทธ์อยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐจริง อยู่ในตำแหน่งนายกจริง อยู่ในตำแหน่งหัวหน้า คสช.จริง ไม่มีอะไรที่จะต้องไปแสวงหาหลักฐานเพิ่ม แต่ปรากฏว่าวันนี้พยายามอธิบายว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และที่ออกคำสั่งทุกเรื่อง หรือไปทำอะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นอำนาจรัฐทั้งหมด หรือคำสั่งอื่นใดนั้น ล้วนแต่เป็นอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งบุคคลสาธารณะไม่สามารถใช้อำนาจ ตามพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน เพราะฉะนั้นถ้ายังมีวินิจฉัยกรณีพลเอกประยุทธ์และปล่อยให้เลือกตั้ง นี่คือจุดที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะซึ่งมันได้ถูกออกแบบไว้สำเร็จแล้วเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย”
ส่วนประเด็นเรื่องความขัดแย้งภายในพรรค นายจตุพร กล่าวว่า ทุกพรรคมีปัญหาหมด ในเรื่องบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ก็มีลาออก อย่างที่บอกว่าพรรคเพื่อชาติอยู่ในสถานะเหมือนพรรคกระยาจก ไม่มีเงิน ยากลำบาก ช่วยผู้สมัคร ก็ทุกขเวทนา 50000-70000 ถึงแสนนึง เพราะฉะนั้นปัญหาต่าง ๆ พอเดินมาถึงจุดนี้ ตนไม่มีความรู้สึก เพราะเราอยู่ในภาคประชาชนมายาวนาน มีเงินไม่มีเงินสำหรับตนไม่มีความหมาย แต่ว่าผู้สมัครหลายๆส่วนก็เหนื่อยยาก แค่ป้ายยังติดไม่ครบทั้งประเทศ พรรคอื่น ๆ ยังมีปัญญาติดป้ายทั้งประเทศ ก็รู้ว่าผู้สมัครก็มีความอึดอัดกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นการมีความเห็นแตกต่างกันในพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว กรณี พตท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ก็เช่นกัน ตนบอกแล้ว เดินแล้วอย่าหยุดนะ ไปพิสูจน์กัน ถ้าผิดไปตามข้อกล่าวหา ก็ยุบพรรค หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค ก็ถูกดำเนินคดีอาญา รวมกระทั่งพตท.สมชายด้วย ในฐานะรองหัวหน้าพรรค เรื่องซื้อขายลำดับบัญชีรายชื่อ ลองดูว่าพรรคขนาดนี้จะได้กี่ตำแหน่งเชียว แค่กรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค ก็เต็มแล้ว
ในโลกแห่งความเป็นจริง ตนเองก็เห็นว่า ณ วันนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างพรรคเพื่อชาติ เป็นตระกูลเพื่อที่ไม่มีเงิน เป็นตระกูลเพื่อที่อยู่ในซีกของพรรคกระยาจก กระจอกงอกง่อยที่สุด ไม่มีปัญญาแม้กระทั่งติดป้ายได้ทั้งประเทศ จะมีอะไรกระจอกได้เท่านี้อีกแล้ว แต่ว่าหัวใจที่มันเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ ตนก็บอกกับบรรดาพรรคพวกว่า เราก็เอาตัวเข้าแลก คือการเดินไปพบประชาชน ป้ายก็ไม่มีความหมายถ้าประชาชนเอาเราไปไว้ในหัวใจซะแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเดินกันไปแบบนี้ เหนื่อยมากหน่อยแต่ว่าสู้กันตามสภาพ
อย่างไรก็ตามในช่วงเย็น ทางพรรคเพื่อชาติ ก็ได้มีกำหนดการ ลงพื้นที่ เขตทุ่งครุ ราษฎร์บูรณะ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อชาติ นางวิฬารี สว่างพลกรัง โดยจะเดินพบปะประชาชนที่ ตลาดใหม่ทุ่งครุ(ประขาอุทิศ61) และมีการปราศรัยย่อย ที่ สามแยกราษฎร์บูรณะ(ข้างวัดราษฎร์บูรณะ)