นายชัยวุฒิ ตันไชย นักวิชาการอิสระ บุตรชาย ศ.วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ชัยวุฒิ ตันไชย” วิเคราะห์การเมืองช่วงโค้งสุดท้าย ในหัวข้อ “ทำไมคนถึงเปลี่ยนใจจากธนาธร?” ซึ่งมีผู้เข้ามาแสดงความเห็น ทั้งเห็นด้วยและเห็นต่างจำนวนมาก โดยแบ่งออกเป็น 4 ข้อ ประกอบด้วย
1) ธนาธรพูดเรื่องเดิมๆ มานานเกินไป message ของธนาธรคือการโจมตีคสช และการเมืองในปัจจุบัน วนไปวนมา สังเกตจากการเข้าร่วมเวทีต่างๆของธนาธรในช่วงเดือนที่ผ่านมา
2) ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เสนอทุกเรื่อง เสนอทุกอย่าง แต่ความน่าจะเป็นที่จะทำได้ในแต่ละเรื่องนั้นน้อยมากๆ ที่สำคัญธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ยังไม่มีหมัดเด็ด ไม่มีนโยบายอะไรที่โดนใจ พอเสนอออกมาก็ “ล้ำ” จน “เลอะเทอะ” อย่าง hyperloop
ไม่ต้องเทียบกับพรรคใหญ่ ที่ออกนโยบายแบบสั่นสะเทือนความน่าสนใจเป็นชุดๆ
3) ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เล่นกับการโหมกระแสviral เพื่อสร้าง awareness ในแบรนด์ของตัวเอง กลายเป็นว่าคนสนใจเพราะ viral ไม่ได้สนใจที่ตัวพรรคหรือนโยบาย
#ฟ้ารักพ่อ ต่างอะไรกับ #หล่อใหญ่หล่อกลางหล่อเล็กในอดีต ?
4) ธนาธรและอนาคตใหม่ใช้ message ที่ยาก ในการทำความเข้าใจ ต้องใช้เวลาและพลังในการอธิบาย ทั้งในทางนโยบาย และ กระบวนการทางการเมือง
…เมื่อเทียบกับพรรคใหม่ เช่นคุณมิ่งขวัญ ที่พยายามเสนอภาพของปัญหาเศรษฐกิจและการแก้ไข “เฉพาะหน้า” เพียงเรื่องเดียว ซึ่งถือว่าให้ “ทางออก” ที่น่าสนใจกับปัญหาปากท้องในปัจจุบัน
…เมื่อเทียบกับพรรคใหม่ อย่างเสรีรวมไทย ที่ตั้งเป้า ตั้งป้อมเล่นงานคสช แบบตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมแบบอนาคตใหม่ ที่สำคัญเมื่อเทียบว่าจะ”ปฏิรูป” กองทัพอย่างไร กลับกลายเป็นเสรีที่ให้ “ภาพจำ” ที่ชัดเจนมีรายละเอียด
ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่จึงเป็นอะไรที่เข้า่ใจยา่ก เมื่ออยู่ในเกมนานขึ้นจึงเริ่มล้า และ กลายเป็นพรรคที่เกรี้ยวกราดด้วยความเหนื่อย มิพักจะท่าทีเหล่านี้กลับกลายเป็นตอกย้ำให้คน “สับสน” และ “ไม่วางใจ” ในทางทีที่จะนำพาความหวัง
บางคนถึงกับพูดว่า เห็นธนาธร แล้วนึกอภิสิทธิ์ เห็นท่าทีของอนาคตใหม่แล้วเหมือนประชาธิปัตย์
คำพูดของคุณมิ่งขวัญ ที่พูดว่า “ผมเบื่อแทนประชาชน” น่าจะบอกได้ว่า คนก็เริ่มเบื่อ เพราะธนาธร “เล่นกับเกมที่น่าเบื่อ” นี้มากเกินไป
เราพูดถึงอนาคต เราพูดถึงความหวัง แต่มันต้องมีอะไรที่อยู่ใกล้ๆ ที่มันจับต้องได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดนี้อาจผิดก็ได้นะครับ อย่างไรก็ดีขอเป็นกำลังใจให้อนาคตเป็นประเทศไทย
#เพิ่มเติม ฝากถึงธนาธร และพรรคอนาคตใหม่
อนาคตใหม่ไม่น่าจะต้องเปิด war ตามคุณเสรี แต่ต้องเอานโยบายมาอธิบายให้ง่าย และเห็นภาพแบบคุณมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์
นายชัยวุฒิ ตันไชย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด (18 มี.ค.62) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวถึงกรณีการจัดการทรัพย์สินของตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำทางกฎหมาย และเพื่อสร้างมาตรฐานจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใหม่ให้มีความโปร่งใสมากขึ้น โดยจะนำทรัพย์สินของตนไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สิน คือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด
นายธนาธรกล่าวว่าการที่นักธุรกิจเข้ามาทำงานการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ และในต่างประเทศมีการสร้างมาตรฐานเพื่อให้สาธารณชนไว้วางใจอย่างชัดเจน ซึ่งรูปแบบที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดคือรูปแบบของ blind trust หรือการโอนทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดเข้าไปอยู่ในกองทุน ให้บุคคลที่สามเป็นผู้ดูแล และทำให้ blind คือหมายความว่าเจ้าของทรัพย์สินจะมองไม่เห็น และอำนาจในการบริหารทรัพย์สินอยู่ที่ผู้รับมอบอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
นายธนาธรระบุต่อไป ว่าแม้ในรัฐธรรมนูญปัจจุบันระบุไว้แล้วว่าให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการถือหุ้นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ และรัฐมนตรีจะต้องโอนทรัพย์สินไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สินเป็นผู้ดูแล แต่ไม่ได้ระบุให้ต้องทำให้เป็น blind ทั้งนี้ ในต่างประเทศที่เป็นประชาธิปไตยส่วนใหญ่ นักการเมืองจะทำการเอาทรัพย์สินของตนเองเข้าไปอยู่ใน blind trust เป็นมาตรฐานทางศีลธรรมที่ไม่ได้มีการบังคับ นี่คือรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่จะลบข้อครหาทางสังคมได้ ทั้งนี้ ในประเทศไทยไม่มีกฎหมายที่รองรับ blind trust จึงทำเป็น blind trust ในลักษณะเดียวกันไม่ได้ แต่สิ่งที่ตนกำลังจะทำร่วมกับภัทร เป็นนวัตกรรมใหม่ เป็นการทำให้ blind ด้วยความสมัครใจโดยไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ
“ผมอยากจะสร้างมาตรฐานการทำการเมืองใหม่ ผมว่าข้อดีอันดับแรกคือไม่ต้องวอกแวกไปกับการจัดการทรัพย์สินของตัวเอง ทำให้เราทุ่มเทพละกำลังและเวลาของเราไปในการทุ่มเททำงานรับใช้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ ประการที่สอง มันแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ผลักดันให้พวกเรามาทำงานการเมือง ก็เพื่อทำให้สังคมดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แม้จะมีขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดให้เราทำ แต่สิ่งที่เราจะทำให้มากกว่านั้นคือสร้างมาตรฐานใหม่ ยกระดับความโปร่งใส มาตรฐานการดูแลผลประโยชน์ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ไปไกลกว่ากฎหมาย” นายธนาธรกล่าว
นอกจากนี้ นายธนาธรยังได้ระบุถึงบางส่วนของเงื่อนไขที่อยู่ใน MOU ระหว่างตนกับภัทร คือจะต้องไม่ซื้อหุ้นไทยทุกตัว และถ้าจะลงในหุ้น ต้องจะลงทุนในหุ้นต่างประเทศอย่างเดียว เพื่อจำกัดข้อครหาทุกกรณี ว่านโยบายที่ออกไปนั้นจะเป็นนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ส่วนตน นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขที่ระบุว่าการได้กรรมสิทธิ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินกลับมาเป็นของตัวเอง จะต้องผ่านไปแล้วสามปีหลังจากพ้นตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
ส่วนสาเหตุทึ่เลือกบริษัทภัทรมาเป็นผู้บริหารจัดการกองทุน ก็เพราะว่าที่ผ่านมาตนกับภัทรไม่เคยมีธุรกิจร่วมกัน มีความเป็นมืออาชีพ ได้รับการยอมรับว่าเป็นแถวหน้าของวงการการเงินในประเทศไทย และเชื่อมั่นว่าภัทรจะไม่ยอมจำนนต่อคำสั่งใดๆเมื่อตนมีอำนาจ
นอกจากนี้ นายธนาธรยังได้ประกาศถึงกรณีนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดาของตน จะทำการขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทมติชนออกไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้ ตนไม่เคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจซื้อหุ้นมติชนของครอบครัวเลย เพียงถูกส่งไปนั่งทำงานเป็นกรรมการบริหารเพียงอย่างเดียว โดยทำหน้าที่อย่างสุจริตมาตลอด และหลังจากตัดสินใจลาออกจากทุกตำแหน่งทางธุรกิจมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจก็ไม่เคยส่งใครไปนั่งบริหารแทนตนเลยตั้งแต่นั้นมา และที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำการแทรกแซงหรือสั่งการใดๆ แต่เพื่อความโปร่งใสและสบายใจของสังคม นางสมพรก็เตรียมที่จะขายหุ้นออกไปในเร็วๆนี้
ส่วนกรณีข้อครหาว่าการทำงานการเมืองของตนจะมีผลประโยชน์กับบริษัทไทยซัมมิทหรือไม่ ตนยืนยันว่ารายได้เกือบทั้งหมดของไทยซัมมิทมาจากคู่ค้าระดับนานาชาติทั้งหมด แทบไม่มีหน่วยงานรัฐเลย และที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยเป็นคู่สัมปทานกับรัฐ ไม่เคยมีแนวคิดที่จะทำธุรกิจกับรัฐ และเชื่อว่าแนวคิดนี้จะดำรงอยู่ต่อไป แต่หากในอนาคตบริษัทไทยซัมมิทจะมีการทำโครงการร่วมกับรัฐ ตนจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณาใดๆทั้ งสิ้น และขอให้สาธารณะร่วมกันตรวจสอบอย่างเข้มข้นด้วย
“นักธุรกิจที่เข้ามาทำงานการเมืองไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดเสมอไป ว่าจะต้องมากอบโกยหาผลประโยชน์ เราต้องการที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ ซึ่งสิ่งที่ผมกำลังจะทำกับภัทรจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ไกลเกินกว่าใครๆ และไกลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด” นายธนาธรกล่าว
โดยหลักการที่นายธนาธรทำร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน คือ นายธนาธรจะโอนสิทธิการบริหารจัดการทรัพย์สินของตนเองไปให้บริษัทจัดการแทน ซึ่งมีเงื่อนไขว่า
1.นายธนาธรจะไม่สามารถกระทำการใดๆ ที่มีลักษณะเป็นการเข้าไปบริหาร ครอบงำ หรือออกคำสั่งเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองได้
2.เพื่อป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน บริษัทจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดให้นายธนาธรหรือบุคคลอื่นใดได้รับทราบถึงรายละเอียดการบริหารจัดการทรัพย์สินทั้งหมด
3.บริษัทจะต้องไม่เข้าไปลงทุนเป็นหุ้นส่วนในบริษัทที่เป็นคู่ค้ากับรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานรัฐใดๆ