สำนักข่าวชายของรายงานว่า เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2562 นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจสนธิกำลัง เข้าตรวจค้นและจับกุมกัญชาในมูลนิธิข้าวขวัญ และแจ้งข้อหานายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิฯ ว่า
ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการจับกุมครั้งนี้ เพราะการใช้กฎหมายอาญาควรดูที่เจตนา แต่นายเดชามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อทำเป็นยารักษาโรคและไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่สตางค์แดงเดียว
“เจ้าหน้าที่หูหนวกตาบอดหรืออย่างไร ไปบังคับใช้กฏหมายโดยไม่ดูข้อเท็จจริง และตีความข้างเดียวทำร้ายประชาชน ระวังสังคมจะลุกเป็นไฟ”
ประธานสภาเกษตรกรฯ กล่าวว่า ในบทเฉพาะกาลของ พรบ.ยาเสพติดฉบับใหม่ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้กัญชารักษาโรคไปจดแจ้งการครอบครองกัญชาภายใน 90 วันซึ่งช่วงนี้อยู่ในบทเฉพาะกาล ซึ่งหากนายเดชาครอบครองกัญชาเพื่อเชิงพาณิชหรือส่งขายก็จับไปเลย แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจตนาที่แท้จริงคือรักษาคน แต่เจ้าหน้าที่รัฐยังบังคับใช้กฎหมายแบบขาดสติและไม่รับฟังเสียงประชาชน ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิเคราะห์กันว่าอนาคตกัญชาอาจตกอยู่ในมือของกลุ่มทุนใหญ่
ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นกับนายเดชาเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ นายประพัฒน์กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะทุนใหญ่หรือไม่ แต่ที่ทราบคือตอนนี้กลุ่มทุนใหญ่ทั้งในและต่างประเทศมองกิจกรรมของประเทศไทยที่ผ่อนปรนเรื่องกัญชาด้วยความละโมบเพราะต้องการคว้าเค้กก้อนใหญ่ซึ่งเป็นคุณสมบัติทั่วไปของทุน แต่พวกเราก็จะคัดค้านให้ถึงที่สุด และสภาเกษตรกรก็พร้อมจะลุกฮือหากเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนั้น
“ตอนที่ทำกฎหมายเราต้องการแก้ไกลกว่านี้ แต่รัฐบาลไม่กล้าเดินจึงแก้เฉพาะหน้าและยังคงอยู่ในบัญชียาเสพติด ตอนแรกเราคิดว่ายังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ที่ไหนได้ กระทรวงสาธารณสุขกลับออกระเบียบยุ่งยาก คนทั่วเข้าถึงยาก และประชาชนหวาดระแรงว่าจะเป็นการชี้เป้าให้เจ้าหน้าที่หลังหมดบทเฉพาะกาลหรือไม่ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ไว้ใจ”
ขณะที่นายเนวิน ชิดชอบ ได้โพสต์ข้อความทางเฟสบุค “ลุงเนวิน”ในหัวข้อรวมพลังรักษาภูมิปัญญาไทย กัญชาเพื่อการแพทย์” ว่า
ข่าวการจับกุมเจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และยึดต้นกัญชา 200 ต้น พร้อมทั้งอุปกรณ์การสกัดน้ำมันกัญชา ตามข่าวอ้างว่าเป็นของ คุณเดชา ศิริภัทร กรรมการบริหารมูลนิธิ ที่ใช้ผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์ แจกให้แก่ประชาชนเพื่อรักษาโรค และจะเรียกคุณเดชา มาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไปนั้นในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่ได้ศึกษาการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์พื้นบ้าน รวมทั้ง การใช้กัญชารักษาโรคตามภูมิปัญญาไทย ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่มีมากว่า 300 ปี
มีความเห็นว่าการจับกุม ยึดทำลายต้นกัญชา และ อุปกรณ์การผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์ เช่นนี้ เป็นการทำลายภูมิปัญญาไทย เป็นการปิดกั้นการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ของประชาชน ในโพสต์ดังกล่าวระบุว่า
ปัจจุบันนี้ มีงานวิจัยทางการแพทย์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวนมาก ยืนยันว่ากัญชาเป็นพืชที่มีคุณค่าทางการแพทย์ หลายประเทศในโลก รวมทั้งประเทศไทย อนุญาตให้มีการผลิตกัญชาเพื่อการแพทย์ อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว อีกทั้งองค์การอนามัยโลกได้ทำการศึกษาวิจัย และระบุว่าสารสกัดในกัญชาไม่ใช่ยาเสพติด แต่มีสรรพคุณรักษาโรค
ในขณะที่ทั่วโลก กำลังตื่นตัว ศึกษาวิจัยการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ แต่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพการปลูกกัญชาดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีองค์ความรู้ภูมิปัญญาพื้นถิ่นเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ อย่างหลากหลาย มายาวนาน กลับมีการจับกุม ดำเนินคดีกับประชาชนผู้ทำการศึกษาวิจัยการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ อย่างเข้มงวด โดยไม่เปลี่ยนมุมมองต่อกัญชา และก้าวไม่ทันโลก
“ผมขอเรียกร้องให้รัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้โปรดใช้วิจารณญาณในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสม รู้เท่าทันและศึกษาองค์ความรู้ใหม่ เกี่ยวกับกัญชาเพื่อการแพทย์ เพื่อที่จะไม่เป็นการทำลายภูมิปัญญาไทย และองค์ความรู้ที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนานกว่า 300 ปี ซึ่งเป็นทรัพย์สินทางปัญญา ที่ประเมินค่ามิได้ของคนไทย ทั้งประเทศ ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ให้กำลังใจคุณเดชา ศิริภัทร และทุกท่านที่ทำการศึกษาวิจัยการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนการศึกษาวิจัย และให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย และการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ขอเรียกร้องให้คนไทยช่วยกันรวมพลัง เพื่อปกป้องรักษากัญชาเพื่อการแพทย์ ของภาคประชาชน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทย ที่ต้องเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และป้องกันการผูกขาดกัญชาเพื่อการแพทย์ เพื่อประโยชน์กลุ่มธุรกิจเท่านั้น”
โพสต์ลุงเนวิน ระบุต่อว่า วันใดที่คุณมีคนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง เป็นผู้ป่วย ที่ต้องใช้กัญชารักษาอาการของโรค วันนั้น คุณจะรู้และเข้าใจสิ่งที่คุณเดชาทำ ว่าเป็นการสร้างคุณูปการที่มีคุณค่าแก่ชีวิตมนุษย์ และเป็นการสร้างประโยชน์ ที่ยิ่งใหญ่ด้วยความกล้าหาญกว่าคนทั่วไปจะพึงกระทำ คือการอุทิศตน เพื่อผู้ป่วย อย่างแท้จริง แม้จะเสี่ยงต่อการสูญเสียอิสรภาพก็ตาม ในขณะที่พวกคุณ ไม่ใช่เพียงผู้ทำลายสิ่งที่คุณเดชา สร้าง แต่ยังทำลายความหวัง และ โอกาส ของผู้ป่วยจำนวนมาก