หน้าแรก news ลับลวงพราง ! เผย จับ อ.เดชา หวังล้างบางกัญชาพันธุ์ไทย เปิดทาง “ของนอก” ตีตลาดกลุ่มผู้ป่วย

ลับลวงพราง ! เผย จับ อ.เดชา หวังล้างบางกัญชาพันธุ์ไทย เปิดทาง “ของนอก” ตีตลาดกลุ่มผู้ป่วย

0
ลับลวงพราง ! เผย จับ อ.เดชา หวังล้างบางกัญชาพันธุ์ไทย เปิดทาง “ของนอก” ตีตลาดกลุ่มผู้ป่วย
Sharing

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย ม.รังสิต ให้สัมภาษณ์กับรายการ “คนเคาะข่าว” ช่อง “นิวส์วัน” ระบุถึงกรณีการบุกจับมูลนิธิข้าวขวัญฐานมีกัญชาในครอบครอง ว่า

หากประชาชนเป้นฝ่ายผลักดันให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ พบว่ามีอุปสรรคอีกมาก โดยเฉพาะกรณีที่รัฐขอผูกขาดทั้งหมดก่อน 5 ปีแรก ทั้งการเพาะปลูก นำเข้า ส่งออก แล้วก็จำกัดเฉพาะกลุ่มบุคคลด้วย ทำให้ชาวบ้านเข้าถึงยาก ถึงแม้จะเป็นวิสาหกิจชุมชนเข้าชื่อ 7 คน ก็ยังไม่ง่ายที่จะร่วมกับองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์และการสาธารณสุข

ด้วยเหตุผลนี้จึงมีการต่อรองกัน ทางกรรมาธิการยอมอีกเงื่อนไขหนึ่ง คือช่วงระยะ 90 วัน นับตั้งแต่ พ.ร.บ ยาเสพติดให้โทษฉบับใหม่บังคับใช้ จะเปิดโอกาสให้มีการนิรโทษกรรม

สำหรับใครก็ตามที่ครอบครองอยู่ในฐานะผู้ป่วยก็ดี ผู้ที่ให้ผู้ป่วยก็ดี สามารถไปขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับการครอบครองนั้นได้ คือเปิดโอกาสให้ประชาชนได้นิรโทษกรรมไม่มีความผิด ดังนั้น ใครก็ตามที่ผ่านหรือไม่ผ่านคุณสมบัติในการครอบครอง ระหว่างนิรโทษกรรม 90 วัน ไม่มีคำว่าติดคุก โทษสูงสุดคือริบของกลาง

“ปัจจุบันมีผู้ป่วยแอบใช้เป็นจำนวนมาก ประเมินต่ำสุดประมาณ 10 ตันต่อเดือน มูลค่าเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท แต่ผลประโยชน์อีกด้านหนึ่งมองข้ามไม่ได้ คือ องค์การเภสัชเตรียมปลูกกัญชาเพื่อเป็นความหวังให้กับผู้ป่วย โจทย์สำคัญคือไม่ได้ใช้พันธุ์พืชไทยเลย นำเข้าทุกพันธุ์เพื่อวิจัย ขอถามว่าเมื่อวิจัยสำเร็จจะใช้พันธุ์ไทยหรือต่างชาติ ซึ่งมีค่าสิทธิบัตรปนอยู่ด้วย คือมีผลประโยชน์ที่แทรกอยู่”

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า สูตรการใช้กัญชาของอาจารย์เดชาเจือจางมาก คือไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่น้ำมันกัญชาอยู่ที่ 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสอดคล้องกับสูตรแพทย์แผนไทย คือเพื่อไม่ให้ออกฤทธิ์มึนเมา เพื่อแยกแยะระหว่างการรักษากับการสันทนาการ แล้วการจำหน่ายไม่ได้ผ่านอาจารย์หรือมูลนิธิฯด้วยซ้ำ แต่ผ่านวัด ให้วัดแจกจ่ายแก่ผู้ป่วยให้ไปปลูกที่บ้าน แต่แน่นอนอาจารย์เดชาไม่ใช่หมอ แต่ยังไม่หมดเวลาขึ้นทะเบียนผู้กระทำผิด ฉะนั้นยังไม่มีความผิด

ม.รังสิต โดยคณะแพทย์แผนไทย ได้คุยกันว่ากรณีอาจารย์เดชาน่าวิจัยสุด เพราะ 1.แจกฟรี ไม่มีผลประโยชน์ทางการค้า 2. ใช้ปริมาณที่ต่ำ ปลอดภัย เมื่อเทียบกับทุกเจ้าที่ใช้อยู่ และมีการอบรมต่อเนื่อง 3.มีการเก็บโอพีดีการ์ด หรือข้อมูลค้นไข้ ถึง 3-4 พันราย ซึ่งมีค่าอย่างยิ่งสำหรับการวิจัยที่ลัดขั้นตอนเร็วที่สุด กว่าสารสกัดกัญชาจะใช้การได้ การทดลองใช้เงินมหาศาล ไม่มีใครไม่หวังผลประโยชน์ทางการค้า จดสิทธิบัตรทั้งนั้น หลังจากนั้นทดลองในมนุษย์เป็นสิบปี ใช้เงินมโหฬาร ในขณะที่แพทย์แผนไทยใช้ในมนุษย์เลย ถ้ามั่นใจว่าปลอดภัย กรณีอาจารย์เดชามีการเก็บกรณีศึกษาไว้มาก ซึ่งมีค่ามาก และเป็นภูมิปัญญาที่ต้องช่วยกันสืบสานต่อและพัฒนา ไม่ใช่ไปทำลายเขา

นายปานเทพ กล่าวต่ออีกว่า ตนเดาใจอาจารย์เดชาว่าต้องการช่วยผู้ป่วย และห่วงพันธุ์พืชต่างชาติจะทะลักเข้ามาภายใต้สิทธิบัตร แล้วพอวิจัยผ่านก็ให้เกษตรกรปลูก คนรวยกลายเป็นคนขายพันธุ์พืชจากต่างชาติ ทั้งที่ไม่มีโอกาสพัฒนาพันธุ์ไทยเลย นี่คือการทำสงครามต่อสู้ระหว่างทุนใหญ่กับ


Sharing

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่