ว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวในการเปิดงานโครงการประชุมสัมมนาขับเคลื่อนการพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่โรงแรมพี.ซี.พาเลซ จ.สกลนคร ว่า แนวทางการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข กำหนดขอบเขตการปลูกและใช้เพื่อการสาธารณสุขสมัยใหม่ เพื่อใช้กัญชานำไปสกัดเป็นยาเพื่อการแพทย์และการวิจัย และระบบการผลิตเพื่อสกัดสารเป็นยา ซึ่งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ที่ต้องการให้ปลูกและใช้กัญชาทางการแพทย์ เพื่อประโยชน์กับเกษตรกรได้เข้าถึงการรักษาโรคแบบพึ่งตนเอง โดยใช้เป็นพืชสมุนไพร และเป็นการกระจายรายได้ รวมทั้งเป็นการรักษาสายพันธุ์กัญชาพื้นเมืองไว้กับกลุ่มเกษตรกร
ภายใต้ ข้อกำหนดของกฎหมายและระยะเวลา 90 วัน หลังประกาศพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 7/2562 เพื่อให้การดำเนินการในการเสนอโครงการและขอใบอนุญาตการปลูกกัญชา ให้แล้วเสร็จ ทันตามกำหนดเวลา ซึ่งในโครงการขับเคลื่อนการพัฒนากัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์นี้ จะให้ความกระจ่างในเรื่อง “สายพันธุ์และการเพาะปลูก การผลิตยาและการรักษาโรค ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง/การขึ้นทะเบียนตามบทเฉพาะกาล
“กัญชาไม่ว่าจะเป็นหมอพื้นบ้าน ผู้มีประสบการณ์ ผู้ป่วย ที่ผ่านมาล้วนมี, ใช้ประสบการณ์ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นขอให้นำสิ่งเหล่านั้นนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่ออนาคตต่อไป” เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่นายอภิศักดิ์ อังคสิทธิ์ รองประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ว่า กัญชา เป็นพืชสมุนไพรที่มีมาแต่โบราณ นำมาใช้เป็นตำรับยาพื้นบ้าน ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยกว่าสี่สิบปีที่ผ่านมา หลังมีการใช้พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 การใช้ ประโยชน์จากกัญชาได้ถูกควบคุมให้เป็นยาเสพติด การใช้ประโยชน์ทางคุณค่าของสมุนไพรจึงน้อยลง แต่ยังคงถูกใช้ในตำราของชาวบ้าน เพื่อการพึ่งพาตนเองในพื้นที่เทือกเขาภูพาน ที่เป็น แหล่งกำเนิดกัญชาพื้นบ้าน เช่น พันธุ์หางกระรอก พันธุ์ฝอยทอง พันธุ์หางเสือ โดยเฉพาะพันธุ์หางกระรอก มีการนำไปใช้ทั่วโลกจนยอมรับว่าเป็นแหล่งผลิตที่ดีที่สุดในโลก
ทั้งนี้ ในช่วงแรกเรื่องกลไกของกฎหมายประชาชนมักสับสน ไม่อยากให้หลงประเด็น และเข้าสู่วังวนการทำผิดกฎหมาย ในการจัดโครงการขับเคลื่อนการปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่สภาเกษตรกรฯจัดขึ้น หากมีข้อสงสัยในกฎหมาย ขั้นตอน วิธีการใช้กัญชาเพื่อเป็นยารักษาโรค ให้สอบถามกับวิทยากรที่นำความรู้มาถ่ายทอด หรือสอบถามไปยังสภาเกษตรกรจังหวัดแต่ละจังหวัด ซึ่งพร้อมเป็นพี่เลี้ยงและพร้อมบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ท่าน