มติชนออนไลน์ รายงานว่า นายโสภา ปาคำ อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ 3 ต.ร่องฟอง อ.เมือง จ.แพร่ เปิดเผยว่า หลานชายของตนชื่อนายพลกฤษณ์ คนชม อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 69 หมู่ 7 บ้านทุ่งน้ำใส ต.เหมืองหม้อ อ.เมือง จ.แพร่ ถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีข้อหาผลิตกัญชา และมีกัญชาไว้ในครอบครองจำนวน 40 ต้นมีขนาดความสู่ 6- 12 เซนติเมตรคละกันปลูกอยู่ในถุงดำ ตำรวจชุดสืบสวนปราบปราม สภ.เมืองแพร่ นำหมายเข้าค้นบ้านนายพลกฤษณ์ เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 24 เมษายน แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายใดใด จึงได้คาดคั้นนายพลกฤษณ์แล้วให้พาไปที่ปลูกกัญชาในสวนผลไม้ห่างบ้านออกไป หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวพร้อมทั้งยึดต้นกัญชาดังกล่าว นำส่ง ร.ต.อ.สามารถ วังกาษร รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองแพร่ พนักงานสอบสวนเวรเพื่อดำเนินคดีนายพลกฤษณ์
นายโสภากล่าวว่า กัญชาที่มีอยู่ 40 ต้นที่กำลังปลูกอยู่นั้น เป็นของตนเนื่องจากตนเป็นมะเร็งถุงน้ำดีและตับ แพทย์จากโรงพยาบาลลำปางตรวจพบว่าอยู่ในระยะ 4 เมื่อปี 2561 นำเข้าฉายแสงคลีโมหลายรอบ เพื่อฆ่าเซลมะเร็ง แต่ปรากฏว่าร่างกายทรุดหนักผมร่วง มีอาการบวม ต่อมาลองนำกัญชาแห้งมาต้มน้ำร้อน ดื่มทุกวันวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็นครั้งละ 1 แก้ว ปรากฏว่าอาการดีขึ้น อาการบวมหายไป และสุขภาพแข็งแรงขึ้น 1 ปีที่ผ่านมาอาการป่วยทุเลาอย่างเห็นได้ชัด แต่ กัญชา หาซื้อยากและผิดกฎหมายรวมทั้งมีราคาสูงมาก เมื่อทราบข่าวว่าทางราชการปลดล็อคกัญชาออกจากยาเสพติด จึงได้ไปติดต่อที่สาธารณสุขเมื่อต้นเดือนเมษายน เพื่อขออนุญาตใช้กัญชาเพื่อการรักษา แต่ทางสาธารณสุขจังหวัดแพร่ กล่าวว่ายังไม่มีมาตรการอนุญาต
ปัญหาดังกล่าวทำให้ตัดสินใจว่า จะต้องปลูกกัญชาไว้ใช้เอง โดยได้วานหลานคือ นายพลกฤษณ์นำเมล็ดกัญชาไปทดลองปลูกดู ปรากฏว่า ได้ผลมีกล้ากัญชาที่เจริญเติบโตจำนวน 40 ตน รอวันที่จะนำใบมาใช้เพื่อการบำบัดโรคหรือการเข้าถึงยาโดยไม่ต้องซื้อ เพราะตนเองก็ไม่มีรายได้เป็นผู้ป่วยสูงอายุ จึงขอร้องหลานให้ไปปลูกแต่หลานกลับมาถูกจับ ขณะนี้ตำรวจ สภ.เมืองแพร่ ยังไม่ให้ประกันตัว จึงอยากวิงวอนของให้ทางการเห็นใจผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ไม่มีทางออก กัญชาทำให้สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดประกอบกับทางการเปิดให้ใช้เป็นยาได้ จึงขอวิงวอนให้ปล่อยตัวหลานชาย ถ้าจะเอาผิดมานำเอาตนไปดำเนินคดีแทนก็ได้เพราะกัญชาเหล่านั้นเป็นของตน