นายชุมสาย ศรียาภัย รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเหตุอันควรสงสัยเกิดขึ้นว่าหัวหน้าคสช.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็น”เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หรือ “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” และเมื่อประธานสภาฯ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติควรจะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่การเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนมีคำวินิจฉัยตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งพยานหลักฐานที่มีคือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3578/2560 ที่สั่งจำคุกนายสมบัติ บุญงามอนงค์เป็นเวลา 2 เดือนปรับ 3,000 บาทโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปีในความผิดฐานถูกหัวหน้าคสช.ออกคำสั่งและประกาศ ภายหลังเข้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ให้มารายงานตัวแล้วไม่มา ต่อมา พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมบัติเป็นจำเลยต่อศาล เรื่องความผิดต่อประกาศคสช.ถือว่าขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน
ทั้งนี้ คสช.ได้ออกประกาศ (เฉพาะ) ฉบับที่ 25/2557 และฉบับที่ 29/2557 เรื่องให้บุคคลมารายงานตัวตามคำสั่งของคสช.กำหนดโทษผู้ฝ่าฝืน จำคุกไม่เกิน2ปีหรือปรับไม่เกิน40,000บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
นายชุมสายกล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวลงวันที่ 1 มิถุนายน 2560 หน้า 13 ซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ระบุว่าผู้ออกคำสั่งคสช.เป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งต้องถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และแม้จะอ้างว่าเป็นข้าราชการการเมืองอื่นก็คือเจ้าหน้าของรัฐนั่นเองการที่นายวิษณุฯ บอกว่าเป็นองค์กรชั่วคราวน่าจะเป็นการตีความเลยเถิดไปมาก
นายชุมสายกล่าวอีกว่า จากคำพิพากษาศาลฎีกานี้ ชี้ชัดว่าหัวหน้าคสช.เป็นเจ้าพนักงานตามกฏหมาย มีอำนาจสั่งให้คนมารายงานตัวต่อคสช. นายสมบัติไม่มาจึงได้รับโทษจำคุกและปรับตามที่ศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุดพิพากษา จึงน่าจะมีเหตุผลเพียงพอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พลเอกประยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีก่อนมีคำวินิจฉัยเพราะกรณีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 บัญญัติให้ นำความในมาตรา 82 มาอนุโลมบังคับใช้ด้วยซึ่งหวังว่า ศาลรัฐธรรมนูญคงจะใช้มาตรฐานเดียวกันกับที่เคยใช้ต่อคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่