นางสาวเกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติชี้ว่า ตนเองสะดุดตากับข่าวสถิติการฆ่าตัวตายของประชาชนไทยจากกรมสุขภาพจิตที่รายงานว่าการฆ่าตัวตายของประชาชนไทยตกเฉลี่ยเดือนละ 340 คน สูงกว่าการตายด้วยโรคอื่นๆ การฆ่าตัวตายในประเทศไทยเป็นสาเหตุการตายผิดธรรมชาติที่สูงเป็นอันดับ 2 รองจากอุบัติเหตุ สูงกว่าการตายจากโรคไข้เลือดออก คนไทยฆ่ากันตายน้อยกว่าการฆ่าตัวตายอยู่ประมาณ 3-4 เท่า และในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวการฆ่าตัวตายจากปัญหาเศรษฐกิจสูงขึ้นจนน่าตกใจ มีข่าวประชาชนไทยฆ่าตัวตายเพราะเหตุเกี่ยวเนื่องกับภาวะเศรษฐกิจวันละข่าวดังนี้
12 ส.ค. 62 เจ้าของร้าน ซดยาล้างห้องน้ำดับ เซ่นพิษเศรษฐกิจ เด็กนอกยอมเจ็บไม่ยอมจน
https://hilight.kapook.com/view/192034
13 ส.ค. 62 ทิ้งจม.ลาตาย’สู้ต่อไปไม่ไหว’ ธุรกิจเจ๊ง3 พ่อแม่ลูกรมควัน
https://www.dailynews.co.th/crime/725823
14 ส.ค. 62 หนุ่ม 27 แอบจำนอง”บ้านและที่ดิน” โดนแม่ด่า น้อยใจรมควันดับ
https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/1637435
15 ส.ค. 62 นักธุรกิจอู่ซ่อมรถบ่นเศรษฐกิจไม่ดีขาดทุน คว้าปืนจ่อขมับเสียชีวิตคาที่
https://www.naewna.com/local/433470
ปัญหาประชาชนไทยฆ่าตัวตายจากสาเหตุเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ต้องเร่งรีบหาทางแก้ไข เพราะการฆ่าตัวตายเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจสังคมที่ยิ่งใหญ่ ตนจะนำเสนอในการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านสัปดาห์หน้า จากการลงพื้นที่พบประชาชนตนได้ข้อมูลว่าปัญหานี้เกี่ยวเนื่องกับภาวะหมดหวัง ขาดความเชื่อมั่นในตัวผู้บริหารประเทศ เป็นเหตุที่ฟางเส้นสุดท้ายขาดลง ทำให้ปริมาณการฆ่าตัวตายสัปดาห์ที่ผ่านมาจากปัญหาเศรษฐกิจพุ่งสูงขึ้น
นางสาวเกศปรียากล่าวต่อว่าก่อนการเลือกตั้งประชาชนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจยังพอมีหวังว่าจะได้ผู้บริหารประเทศที่มีความสามารถมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานราก แต่หลังจากที่พรรคแพ้เลือกตั้งได้ส.ส.อันดับสองร่วมกับ สว. 250 คนแย่งชิงตั้งรัฐบาลด้วยวิธีที่คนมีสามัญสำนึกที่ดีจะไม่กล้าทำ ประจวบกับภาวะเศรษฐกิจในตลาดก็แย่ลง ดูจากกำลังการบริโภคในประเทศลดต่ำลงทุกเดือน ทำให้ประชาชนมองไม่เห็นอนาคต แม้รัฐบาลจะให้ข่าวว่าจะนำเงินสะสมของท้องถิ่นมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้ เพราะ รัฐบาลอดีตพล.อ.ประยุทธ์ เคยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีนี้มาแล้วและบอกว่า คนจนจะหมดประเทศมาหลายครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อปลายปี 2560 รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไปพูดในงานสัมมนา ไทยแลนด์ 2018 จุดเปลี่ยนและความท้าทาย โดยย้ำว่า ปี 2561 รัฐบาลจะใช้โอกาสที่มีอยู่เร่งแก้ปัญหาความยากจนของประเทศ โดยตั้งเป้าหมายให้คนไทยทุกคนที่ยังมีความยากจนอยู่ จะต้องหายจนให้ได้ในปีหน้า โดยจะปลดล็อกกฎระเบียบเพื่อดึงเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีอยู่กว่า 200,000 ล้านบาท มาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านมา 2 ปีมาตราการดังกล่าวไม่ได้ผล ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลทีมีพล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจจึงติดลบ ประชาชนจึงเลือกตัดสินใจละทิ้งชีวิตหนีปัญหาเพราะสิ้นหวัง เพราะการอยู่รอพล.อ. ประยุทธ์เรียนรู้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปอีก 20 ปีตามยุทธศาสตร์ชาติ ประชาชนคิดว่าน่าจะอดตายก่อน ทำให้ปรากฏการณ์ฆ่าตัวตายเพราะเศรษฐกิจพุ่งเป็นกระแสขึ้นมาในสัปดาห์นี้
แนวทางที่จะแก้ไขปัญหาลดกระแสการฆ่าตัวตายเพราะปัญหาเศรษฐกิจคือ ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลมีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่รัฐบาลนี้คงยากเพราะ 5 ปีที่ผ่านมาเป็นภาพจำติดลบสำหรับประชาชน ดังนั้นทางแก้ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกด้าน โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่ลุกลามมาเป็นปัญหาสังคมอย่างที่ตนกล่าวมาข้างต้น หัวใจในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจคือความเชื่อมั่น เมื่อประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัว พล.อ.ประยุทธ์และทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเป็นผู้บริหารประเทศต่อ ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเอาคนที่ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นออกไปคือเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยึดโยงกับประชาชนโดยแท้จริง รัฐธรรมนูญที่มีการเอื้อประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งอย่างเช่น การกำหนดให้ 250 สว. ที่คณะพล.อ.ประยุทธ์เลือกมาแล้วมาเลือกพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศในภาวะทึ่ประชาชนไม่เชื่อมั่น ปัญหาที่มีอยู่คงไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าพลเอกประยุทธ์ยังคงเป็นนายกฯ ต่อไปและไม่แก้รัฐธรรมนูญ คนจนหมดประเทศคงจะเป็นจริงในไม่ช้า ดูได้จากข่าวฆ่าตัวตายในรอบสัปดาห์นี้ที่มี 4 รายหรือวันละ 1 รายจากปัญหาเศรษฐกิจ นางสาวเกศปรียากล่าวทิ้งท้าย