หน้าแรก news เจาะลึกการทำงานสไตล์ “ศักดิ์สยาม” รวดเร็ว ถึงลูก ถึงคน !

เจาะลึกการทำงานสไตล์ “ศักดิ์สยาม” รวดเร็ว ถึงลูก ถึงคน !

0
เจาะลึกการทำงานสไตล์ “ศักดิ์สยาม”  รวดเร็ว ถึงลูก ถึงคน !
Sharing

เรียกว่าเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่ทำงานหนักที่สุดก็ว่าได้ สำหรับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ลุยงานแบบเจ็ดวันต่อสัปดาห์ หนึ่งด้วยเพราะเดินตามแนวทางพรรคภูมิใจไทย ที่สถาปนาตัวเองเป็นพรรคของคนทำงาน

นอกจากนั้น โดยนิสัย ยังเป็นคนทำงานเร็ว ทำงานลุย ไม่ต่างจากพี่ชายอย่าง “ลุงเนวิน” นายเนวิน ชิดชอบ ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการทำงานเก่งกาจ หาตัวจับยาก

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่การขับเคลื่อนของกระทรวงคมนาคม จึงไวปานเครื่องบิน

เพราะสัปดาห์แรกนับตั้งแต่รับตำแหน่ง รัฐมนตรีศักดิ์สยามเริ่มต้นด้วยการแก้ปัญหารถติดบริเวณถนนพระราม 2 ส่งผลให้อัตราการเคลื่อนรถเร็วขึ้น 25%

จากนั้นลุยถนนวิภาวดี ตรวจสอบระบบระบายน้ำ แก้ปัญหาฝนตก น้ำท่วม ส่งผลให้การจราจรในช่วงฝนตกดีขึ้นถนัดตา

นอกจากนั้น ยังลุยพื้นที่ต่างจังหวัด หารือเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการสัญจรแก่ประชาชน

โดยหลายนโยบายสร้างความตกตะลึงแก่สังคมไม่น้อย อาทิ การให้รถวิ่งบนถนน 4 เลนด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชั่วโมง จากเดิมที่กำหนดไว้แค่ 90กม./ชั่วโมง, การไม่ยกเลิกรถตู้, ไปจนถึงการใช้แบริเออร์ยางพาราแทนเกาะกลาง ซึ่งนักวิชาการ “ฝ่ายค้าน” บางท่านออกมาโจมตีแบบสาดเสียเทเสีย

แต่นี่คือแนวคิด “ใหม่” เกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าหากล้วงลึกลงไปในเหตุผล จะพบว่าล้วนเป็นเรื่องที่น่านำปฏิบัติ เพราะมีคำอธิบายที่ต้องรับฟัง เริ่มจากการแก้กฎกรอบให้รถสามารถวิ่งบนถนน 4 เลน ได้ด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น

แหล่งข่าวภายในกระทรวงอธิบายว่า กฎหมายฉบับเก่าจำกัดความเร็วที่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถของรถในตอนนั้น แต่ปัจจุบัน ในความเป็นจริง ประชาชนที่ขับขี่บนถนน 4 เลน ล้วนขับเกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะรถมีสมรรถนะที่สูงขึ้น และมีระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แนวคิดดังกล่าวจึงเกิดขึ้นมาเพื่อสอดรับกับข้อเท็จจริงดังกล่าว

ขณะที่เรื่องรถตู้ การเปิดช่องอนุญาตให้รถตู้ ยังดำเนินกิจการอยู่ได้ แหล่งข่าวด้านคมนาคม ให้อธิบายสาเหตุว่า

ข้อ 1. สิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสนอคือให้เป็นสิทธิของผู้ประกอบการ ใครอยากเปลี่ยนเป็นไมโครบัส  ก็เปลี่ยนได้ไม่ได้ห้าม   ตามความเหมาะสมกับการบริการของแต่ละพื้นที่ และสถานะเศรษฐกิจของแต่ละคน เพื่อไม่เป็นการมัดมือชกไม่เป็นการบังคับซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและการลงทุน

ส่วนการขยายเวลารถตู้หมดอายุจากเดิม 10 ปีเป็น 12 ปี เพื่อลดภาวะค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี แต่รถตู้แต่ต้องผ่านการตรวจคุณภาพ และให้หารือกับกรมการขนส่งทางบกเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย รวมทั้งไม่ให้เกิดการโกงไมล์ หรือการโกงอายุรถตู้

ข้อ 2. มีเหตุผลทางวิชาการสนับสนุนว่า อุบัติเหตุบนถนนเกิดจากผู้ขับขี่บกพร่อง และ ประมาท เมาแล้วขับ  มากกว่าเกิดจากยานพาหนะ

ข้อ 3. หากมีการบังคับให้ปรับเปลี่ยนจากรถตู้เป็นไมโครบัสทั้งหมด จะทำให้เกิดปัญหาไม่มีรถให้บริการประชาชน เพราะผู้ประกอบการไม่มีกำลังซื้อรถไมโครบัสมาให้บริการ เนื่องมีราคาสูงกว่ารถตู้ 1 เท่าตัวจากรถตู้ 1 ล้านบาทเศษเป็น 2 ล้านบาทเศษ   ซึ่งภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ผู้ประกอบการไม่มีกำลังซื้อรถไมโครบัส และหากมีต้นทุนรถเพิ่ม ก็จะกระทบกับการบริการประชาชนทั้งราคาค่าโดยสารที่แพงขึ้น และรถที่ไม่เพียงพอ

ข้อ 4. รถตู้เป็นรถที่ประกอบในประเทศไทย มีการจ้างแรงงาน สร้างรายได้ให้คนไทย แต่รถไมโครบัส เป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศทั้งคัน  หากใช้รถไมโครบัส100% ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชิ้นส่วน และ คนงานไทยที่จะไม่มีงานทำในสภาวะที่ปัญหาเศรษฐกิจปากทองเป็นปัญหาหลักของประเทศตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ที่จะต้องเร่งแก้ไขด่วน

ข้อ 5. มีผู้วางแผนนำเข้ารถไมโครบัสจากจีน เข้ามาขายแทนการใช้รถตู้ เสียประโยชน์ ที่ไม่มีการบังคับให้เปลี่ยนรถตู้เป็นไมโครบัส  แต่ให้สิทธิผู้ประกอบการเลือก ว่าจะใช้รถตู้หรือไมโครบัสก็ได้  ซึ่งมีการสั่งต่อรถไว้แล้ว มากกว่า 10,000 คัน  ซึ่งหากมีการบังคับให้เปลี่ยนรถตู้เป็นไมโครบัส ทั้งหมด จะเสียเงินออกนอกประเทศ มากกว่า 20,000 ล้านบาท กระทบภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก

ข้อ 6. สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนผู้ใช้บริการ ด้วยการตรวจสอบผู้ขับขี่รถอย่างเข้มงวด และการตรวจสอบสภาพรถอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการรับผู้โดยสารตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความปลอดภัย และทำให้ถนนเป็นสีขาวได้

ขณะที่เรื่องการใช้แบริเออร์แทนเกาะกลางถนน นั้น ก็เป็นนโยบายที่ไม่ได้ทำแบบปุบปับรับโชค หรือมีการรื้อของเก่าเปลี่ยนเป็นแบริเออร์ทันที ทว่าทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการสร้างเกาะกลางถนน และยังเป็นการนำงบประมาณรัฐมาอุดหนุนพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกลับคืนให้ประเทศอย่างมหาศาล

สำหรับนโยบายที่จะให้นำแบริเออร์ทำจากยางพารามาเป็นตัวกั้นระหว่างถนนแทนเกาะกลางถนน จะต้องสามารถรองรับการใช้ความเร็วของรถที่ 120 กม.ต่อชั่วโมง เพื่อไม่ให้เหมือนกับแบริเออร์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะช่วยลดอุบัติเหตุ และไม่ทำให้ถนนเสียหาย

รวมทั้งสามารถนำงบประมาณที่จะใช้ก่อสร้างเกาะกลางถนนไปใช้ขยายถนน 4 เลนเพิ่มเติมให้ชาวบ้านได้ด้วย นอกจากนั้น ยังมีแนวทางนำยางพารามาทำแบริเออร์ ใช้ในหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้งของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีความเป็นไปได้มากขึ้น ล่าสุด แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราของกระทรวงคมนาคม ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมร่วมกัน

สำหรับไอเดียเรื่องการนำยางพารามาทำเป็นแบริเออร์นั้น ได้รับการชื่นชมจากนาวาตรี ดร.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ อดีตที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในยุค ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค อดีตรองผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ ที่โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “แบบนี้สิ แก้ปัญหาแบบบูรณาการ”

ทั้งนี้ การคิด และทำในสิ่งที่ “ใหม่” และ “เหนือจินตนาการ” ของหลายคนนั้น เป็นการทำงานที่สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันที่ทุกฝ่ายต้องกล้าคิดต่าง

นายศักดิ์สยามก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ผ่านมา

ไม่เคยมีใครเสนอให้ใช้แบริเออร์ยางแทนเกาะกลางถนน

ไม่เคยมีใครคิดเรื่องการปรับแก้เรื่องความเร็วที่ไม่สอดคล้องกับการขับขี่จริง

กระทั่งนายศักดิ์สยามเข้ามา

“ถ้าเริ่มต้นก็บอกตนเองแล้วว่า ทำไม่ได้ คุณก็ไม่มีวันทำได้
แต่ถ้าเราเชื่อว่า สิ่งที่กำลังจะทำนั้น จะสร้าง “ปาฏิหารย์” ในชีวิตของคนไทย
เราจะคิดหาทางไปสู่ปาฏิหารย์นั้นได้เสมอ”

เป็นคำที่นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เคยพูดเอาไว้ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2562

และน่าจะสะท้อนการทำงานสไตล์ของรัฐมนตรีที่ชื่อ “ศักดิ์สยาม” ได้เป็นอย่างดี

“พูดน้อย ทำงานหนัก”

ศักดิ์สยาม ชิดชอบ

Ringsideการเมือง


Sharing

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่