นายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ กล่าวผ่านรายการ “มองรัฐสภาไทย” ในหัวข้อ มั่นใจ”บัตรสัวสดิการแห่งรัฐ บรรเทาภาระผู้มีรายได้น้อย โดยนายสันติ กล่าวว่า ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐสร้างคน คนสร้างสร้างชาติ”ของพรรคพลังประชารัฐ มีหลายนโยบายผสมกัน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในยุครัฐบาลก่อน ก็ถูกแปลงให้เป็นบัตรประชารัฐในรัฐบาลยุคนี้ มารดาประชารัฐ ก็มีน้ำจิ้มออกไปบ้างแล้ว ดังที่เห็นในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนหน้านี้ อันนั้นคือเสี้ยวเล็กๆ ยังไม่ได้ใส่ลงไปเต็มที่ ส่วนอื่นๆก็มีเรื่องแรงงาน ที่เข้าใจผิดกันมากว่าเป็นการขึ้นค่าแรงที่ไม่มีเหตุมีผล ทั้งที่ข้อเท็จจริงการปรับค่าแรงเพื่อให้ประเทศทั้งประเทศได้รับประโยชน์ไปพร้อมกันจะต้องปรับทักษะผู้ทำงานไปพร้อมกันด้วย
นายสันติ กล่าวถึงกรณีเกิดการตั้งคำถามว่านโยบายบัตรประชารัฐถือเป็นการซื้อความนิยมจากประชาชน ว่า เราคุ้นเคยกับคำว่าประชานิยมมานาน ประชานิยมคือทำอะไรก็ได้ให้ประชาชนนิยม จะผิดจะถูกไม่ว่ากัน แต่ประชารัฐไม่ใช่ มันเป็นคำสองคำมารวมกัน คือ ประชาชน กับ รัฐ ซึ่งเป็นความร่วมไม้ร่วมมือเพื่อช่วยกันยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง
“บัตรประชารัฐคือนโยบายในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เพราะหากพวกเขาไม่อิ่มท้อง ไม่มีข้าวจะกิน เจ็บป่วยไม่มียารักษาโรค จะมีแรงลุกขึ้นมาทำมาหากินหรือวางแผนชีวิตในอนาคต หรือไม่ หลังจากขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อย 14.6 ล้านคน เราทราบว่าแต่ละที่มีความจำเป็นเร่งด่วนแตกต่างกัน อาชีพที่เหมาะสม ที่ควรจะสร้างให้ ทักษะที่ควรจะต้องปรับ อันนี้ถือเป็นงานถัดไปในการสร้างความยั่งยืน ดังนั้นหากจะบอกว่าบัตรประชารัฐเป็นกุศโลบายในการหาเสียงให้ ส.ส.ในพื้นที่ คงไม่ยุติธรรม เพราะแม้กระทั่ง ส.ส.ในพื้นที่เองก็ไม่ได้จับเงินที่ไปแจกให้ประชาชน เงินลงไปที่ถุงเงินอิเล็กทรอนิกส์ของประชาชน โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะเขาถือบัตร เขาสามารถเอาบัตรนี้ไปประทังชีวิตเพื่อให้มีแรง แล้วเดี่ยวมาฝึกอาชีพกันต่อไป”
นายสันติ กล่าวด้วยว่า บัตรประชารัฐจะเรียกว่าเป็น ผลิตภัณฑ์ทางการเงินก็ได้ ที่ต้องให้เครดิตกับรัฐบาลที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ทำโครงสร้างพื้นฐานเอาไว้และพวกเราสามารถมาใช้ต่อได้ และมีฐานข้อมูล ที่จริงการอัดเม็ดเงินลงไปให้กับพี่น้องประชาชน ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง หลายรัฐบาล และมักจะเกิดช่องว่างให้เงินสูญหายระหว่างทาง แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 ต่อเนื่องมาจนรัฐบาลปัจจุบันตัดช่องว่างดังกล่าวทิ้ง เวลาใส่เงิน 100 บาทลงไป ประชาชนได้รับเงิน 100 บาทเต็มจำนวน
สำหรับบัตรประชารัฐ ผู้ถือบัตรจะได้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน โดยแบ่งเป็น ใครรายได้เกิน 30,000 บาท ต่อปี ก็จะได้เดือน 200 บาท ส่วนใครรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท ต่อปี ได้เดือนละ 300 บาท ซึ่งทุกเดือนสามารถนำไปซื้อของที่จำเป็นต่อการอุปโภค บริโภค เช่น ข่าวสาร กะปิ น้ำปลา นอกจากนี้ยังมีค่าเดินทาง วงเงิน 500 บาท ช่วยเรื่องค่าหุงต้ม 45 บาท ต่อ 3 เดือน อันนี้คือการใช้งานปกติของบัตร แต่ก็จะมีมาตรการพิเศษเพิ่มเติมเป็นครั้งคราว เช่น ช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ก็มีเงินของขวัญปีใหม่ให้ 500 บาท รวมถึงค่าใช้จ่ายให้ผู้สูงอายุไปตรวจร่างกายอีก 1,000 บาท ปัจจัยการผลิตขิงเกษตรกร ก้เติมให้อีก 1,000 บาท ในรูปแบบให้ครั้งเดียว หรือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุด ก็ใส่เพิ่มเติมให้ 500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน
ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่านโยบายนี้เอื้อนายทุน เพราะต้องไปใช้บัตรรูดซื้อในร้านค้าใหญ่ๆนั้น นายสันติ กล่าวว่า ไม่เป็นธรรม เพราะชีวิตของประชาชนยังไงก็ต้องใช้สิ่งของอุปโภค บริโภค เช่น สบู่ ยาสีฟัน กะปิ น้ำปลา ซึ่งก็มีไม่กี่เจ้าที่เป็นผู้ผลิต ดังนั้นจะบอกคนว่าทำนโยบายนี้แล้วคนที่รวยคือผู้ผลิตรายใหญ่ ลองไปคิดดูตรรกะดีๆว่าหากสินค้าเหล่านี้จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แล้วไม่มีนโยบายนี้ ประชาชนก็ต้องไปกู้ยืมเงิน เพื่อมาซื้อ สบู่ยาสีฟัน แต่มาตรการนี้คือการเอาเงินของรัฐใส่ลงไปให้พี่น้องผู้ลำบาก ตัดการกู้ยิมออกไป การซื้อของยังเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นจะบอกว่ารายใหญ่ได้ประโยชน์ อันนี้ต้องคิดใหม่ เพราะตามสภาพเขาต้องได้อยู่แล้ว ที่สำคัญปัจจุบันแม่ค้าตามแผงค้าต่างๆก็สามารถรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ เพราะมีแอพพลิเคชั่นถุงเงิน เบื้องต้นมีกว่า 80,000 รายแล้ว
บัตรประชารัฐ เปรียบเหมือนพื้นฐานของระบบทั้งระบบ เริ่มต้นที่ต้องการช่วยบบรรเทาภาระของพี่น้องผู้ยากลำบาก จึงมีการขีดเส้นว่า ถ้าเป็นคนยากจนเราอยากจะดูแล ปัจจุบันก็มีประมาณ 14.6 ล้านคน ถามว่าหมดรึยัง คำตอบคือ คงจะยัง ยังขึ้นทะเบียนและสำรวจกันต่อ จากนั้นเป็นมชุดที่สอง คือยกระดับการฝึกอาชีพ ซึ่งประชาชนที่ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วต้องเตรียมพร้อมเข้าสู่ระยะที่สองคือการประกอบอาชีพเลี้ยงปากท้องตามความเหมาะสม ก็เป็นหน้าที่ของรัฐ โดย 24 หน่วยงานที่ต้องช่วยกัน ระยะที่สาม มีแนวคิดคือเมื่อประชาชนซื้อของแล้วก็ต้องจ่ายภาษีให้รัฐ หรือ VAT ซึ่งต้องคิดกันต่อไปว่าพี่น้องที่จ่าย VAT ผู้ที่ลำบากจริงๆเราน่าจะคืน VAT ให้เขาเพื่อให้มีกำลังซื้อต่อไป ส่วนอันที่สี่ มาตรการที่เป็นชั่วครั้งชั่วคราว เช่นของขวัญปีใหม่ หรือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อันที่ 5 ภาระของครอบครัวที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของคนที่มีลูกแล้วเปิดเรียน หรือ เกษตรกรที่จำเป็นต้องใช้ปัจจัยการผลิต ก็จะมีมาตรการเติมลงไปให้ มาตรการเล่านี้ คือมาตรการที่ใช้บัตรประชารัฐเป็นพื้นฐาน และนำไปสู่การช่วยเหลือด้านสวัสดิการที่เหมาะสมของแต่ละคน
ด้าน น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งโครงการประชารัฐต่างๆ ประชาชนชอบมากโดยเฉพาะบัตรประชารัฐ เป็นอะไรที่ทุกคนอยากได้ แต่ช่วงแรกที่เปิดลงทะเบียน กลับมีคนไปลงทะเบียนน้อย พอเงินออกประชาชนมาถามเพราะเสียดาย พอเปิดครั้งที่สองก็มีประชาชนมาลงทะเบียนเยอะขึ้น เป็นเรื่องถูกต้องที่ใครๆก็ชอบเงิน ใครๆก็อยากได้เงิน แต่ส่วนตัวจากการทำงานอยู่กับประชาชนในพื้นที่ คนที่ได้บัตรประชารัฐคือคนจน บ้านเป็นสังกะสี ทุกครั้งที่เจอเขาจะบอกกับตนเองว่า เขาใช้เงินจากบัตรนี้ เงินนี้ช่วยเขาจริงๆ เพราะใช้ในการซื้อข้าวสาร น้ำปลา ดังนั้นเงินจากบัตรนี้ประชาชนชอบ เพราะบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพวกเขา ส่วนกรณีที่มีการโพสต์รูปในลักษณะใส่สร้อยทอง มีบัตรประชารัฐผ่านทางโซเชียลมีเดียนั้น ส่วนตัวมองว่า อันนั้นคือโซเชียล โซเชียลเป็นอะไรที่ใครจะถ่ายรูปโพสต์ แล้วก็บอกว่าฉันมีบัตรประชารัฐใส่ทองเส้นใหญ่ ฉันมีบัตรประชารัฐ แล้วก็เอาบัตรประชารัฐไปซื้อไอโฟน มันเป็นการโจมตีของพรรคการเมืองเด็กๆ เพราะฉะนั้น เราต้องใช้วิจารณาญาณในการเสพโซเชียล เพราะวันนี้มีประชาชนได้รับการบรรเทาความเดือดร้อนจากบัตรประชารัฐมาก แต่การแก้ปัญหาความยากจนก็มีอีกนโยบายหนึ่งเช่น การส่งเสริมอาชีพ การพัฒนาทักษะอะไรต่างๆ
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านโจมตีว่านโยบายนี้เอื้อนายทุน เพราะต้องไปใช้บัตรรูดซื้อในร้านใหญ่ๆเท่านั้น ไม่เป็นความจริง เพราะร้านค้าเล็กๆตามหมู่บ้าน หรือแผงขายของในตลาดนัดก็สามารถใช้บัตรประชารัฐได้ เพราะมีแอพพลิเคชั่นถุงเงิน ที่ทุกคนสามารถดาวน์โหลดและลงทะเบียนใช้งานได้ทันที ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปซื้อไกล เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนด้วย แต่ทั้งนี้ต้องประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น
“เนื่องจากเราถูกโจมตีหนักมาก จนทำให้คนเข้าใจว่าบัตรประชารัฐสามารถซื้อได้แค่ที่ร้านใหญ่ๆ ซึ่งจริงๆแล้วใครๆก็รับบัตรประชารัฐได้ เพียงแค่คุณขายของ โดยให้ไปลงทะเบียนที่จังหวัด พอลงทะเบียนเสร็จเขาจะให้หนังสือรับรองมา จากนั้นถือไปที่ธนาคาร แล้วก็รอให้แอพใช้งานได้ ส่วนเวลาใช้ก็เปิดแอพถุงเงินแล้วสแกนบาร์โค้ดหน้าบัตรประชารัฐ ก็สามารถหักเงินจากในบัตรมาใช้ได้สำหรับซื้อสินค้า”