นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบให้ นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายองอาจ ฉัตรชัยพลรัตน์ โฆษกประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รับหนังสือจากสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งมีผู้แทนจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) เข้ายื่นหนังสือขอให้รัฐบาลและรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมดำเนินการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างรัฐวิสาหกิจกับบริษัทเอกชนที่รับสัมปทาน ในวันที่ 12 กันยายน 2562 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม
สร.กทพ. ได้เสนอให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ต่อสู้คดีในกรณีข้อพาทระหว่าง กทพ. กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด หรือ NECL ซึ่งมีการฟ้องร้องคำเนินคดีในศาลปกครอง 19 คดี โดยทั้งสองบริษัทฟ้อง กทพ. 15 คดี และ กทพ. ฟ้องบริษัท ๒ คดี โดยมี 1 คดี ที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ กทพ. แพ้คดี และจ่ายค่าเสียหายตาม คำฟ้องให้แก่ NECL เป็นมูลค่าประมาณ 4,300 ล้านบาท ส่วนอีก 16 คดี อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการ เนื่องจากการต่อสัญญาสัมปทานให้แก่บริษัทเอกชนในโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (รวมถึงส่วน D) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด โดยแลกกับการยุติกับข้อพิพาทที่ศาลยังไม่ได้พิพากษา ซึ่ง สร.กทพ. เห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อ กทพ. ทำให้รัฐเสียประโยชน์ และควรดำเนินการให้ถึงที่สุดตามกระบวนการ
ขณะที่ สร.รฟท. ได้เสนอว่า กรณีที่ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่บอกเลิกสัญญาโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานครโดยมิชอบต่อศาลปกครอง และเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2562 ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ รฟท. จ่ายค่าเสียหายให้ บริษัทโฮปเวลล์ฯ จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ชำระภายใน 180 วัน ทั้งนี้ สร.รฟท. เห็นว่ายังมีประเด็นและข้อเท็จจริงใหม่ที่ รฟท. และกระทรวงฯ ยังไม่นำเสนอเพื่อขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ คือความเสียหายและการสูญเสียโอกาสอันเนื่องมาจากโครงการฯ ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ รวมทั้งการสูญเสียโอกาสในการพัฒนาที่ดินของ รฟท. ในพื้นที่ตามสัญญาโครงการฯ อันเนื่องมาจากข้อพิพาทดังกล่าว ซึ่ง สร.รฟท. เห็นว่า บริษัท โฮปเวลล์ฯ ต้องชดใช้ค่าเสียหายและการสูญเสียโอกาสเหล่านี้ด้วย
ทั้งนี้ สรส. ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว และในอนาคตควรพิจารณาทบทวนนโยบายในโครงการต่าง ๆ ของราชการ หน่วยงานของรัฐที่ให้เอกชนร่วมลงทุนหรือให้สัมปทานว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงไหน เมื่อเทียบเคียงผลประโยชน์และปัญหาที่จะตามมากับการที่รัฐมาดำเนินโครงการเอง ในการนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับข้อเสนอจาก สรส. เพื่อนำเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อไป