ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองประจำสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงโครงการไทยนิยม ที่ใช้งบกว่า 1.5 แสนล้านบาท และใช้บุคลากรกว่า 7 พันคน เพื่อยกระดับชีวิตประชาชน ว่า เป็นโครงการที่มีจุดประสงค์ทางการเมืองชัดเจน ทั้งในเรื่องของการหยั่งเสียงก่อนเลือกตั้ง การสร้างกระแสก่อนการเลือกตั้ง ด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาล เป็นการช่วงชิงความได้เปรียบ ที่มาพร้อมกับ ครม.สัญจร โดยโครงการไทยนิยม เป็นการสร้างสัมพันธ์กับชาวบ้าน ขณะที่ ครม.สัญจร เป็นการสร้างสัมพันธ์กับนักการเมือง
“โครงการไทยนิยม มีรูปแบบคล้าย กอ.รมน. คือ เจ้าหน้าที่รับคำสั่งโดยตรงจากส่วนกลาง ระดับสูง แล้วลงไปปฏิบัติการกับชุมชนทันที ต่างตรงที่ เจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน.เป็นทหาร แต่ในโครงการไทยนิยม น่าจะเป็นข้าราชการหลายกระทรวงมาช่วยกัน ยกตัวอย่าง พื้นที่ตรงนี้ อยากบูมเรื่องเศรษฐกิจ ต้องส่งข้าราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไป อาจจะเป็นกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ พื้นที่ตรงนี้ มีปัญหาเรื่องความไม่มั่นคง อาจจะส่งทหารเข้าไป เป็นต้น
หลายฝ่ายมองว่า เป็นการใช้อำนาจหาผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ส่วนตัวรับได้ เพราะเป็นวิถีของประชาธิปไตย รัฐบาลพลเรือนก็ทำแบบนี้เช่นกัน แต่จะโน้มน้าวใจประชาชนได้หรือไม่ คิดว่า ไม่น่ามีอิทธิพลขนาดนั้น เพราะประชาชนเขาทราบว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่ต้องดูแลประชาชนอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่า อะไรเป็นจุดแข็งของรัฐบาลชุดนี้ หากจะเล่นการเมืองต่อ ดร.สติธร ระบุว่า ความจริงใจของพลเอกประยุทธ์ เป็นข้อได้เปรียบ หากยังจำกันได้ ทุกครั้งที่พลเอกประยุทธ์ พูดอย่างตรงไปตรงมา แล้วเดินไปตามนั้น คะแนนนิยมรัฐบาลจะพุ่งสูง น่าเสียดายที่พักหลังท่านโลเลไปบ้าง คะแนนนิยมเลยร่วงตาม
สิ่งที่ฝ่ายทหารต้องกังวล คือ ชั้นเชิงทางการเมืองของฝ่ายทหาร เทียบไม่ได้เลยกับฝ่ายการเมือง อาจจะโดนหลอกเสียเหลี่ยม ฝ่ายทหาร ต้องเดินหมากให้ดี
ติดตามฉบับเต็ม : https://www.youtube.com/watch?v=pi5gsA_0cvE&feature=youtu.be