จากกรณีที่กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงสาธารณสุข เป็นรัฐมนตรีที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 43.6 ตามมาด้วยอันดับ 2 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงกลาโหม คิดเป็นร้อยละ 25.4 อันดับ 3 นายอุตตม สาวนายน รมว.กระทรวงการคลัง อันดับ 4 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงพาณิชย์ อันดับ 5 น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวว่า คะแนนของนายอนุทินเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเราเชื่อมาเสมอว่าสังคมไทยแบ่งเป็น 2 ขั้วขัดแย้ง ผู้ที่ได้รับความนิยม ควรจะเป็นตัวแทนของแต่ละฝ่าย แต่ปรากฏว่า คนที่ประชาชนเทคะแนนให้กลับเป็นนายอนุทิน ซึ่งวางตัวเป็นกลาง และเป็นคนทำงานจริง ทำงานลุย ให้สัมภาษณ์แต่เฉพาะเรื่องงาน ผสมกับเรื่องราวชีวิตส่วนตัวที่สื่อนำเสนอ ซึ่งสังคมให้ความสนใจเช่นเรื่องการขับเครื่องบินรับส่งอวัยวะ ช่วยเหลือสภากาชาดไทย
ดังนั้น จากผลโพลล์จึงเดาได้ว่าสังคมไทยกำลังเปลี่ยนไปแล้ว คือ ต้องการคนทำงานมาบริหารประเทศ มากกว่าการสาดโคลนใส่กัน ขณะที่ชีวิตส่วนตัวของคนที่ทำงานการเมือง ก็ต้องเป็นมิติที่ดี เพราะนักการเมืองควรเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน ไม่ใช่เป็นภาพสีเทาๆ ทั้งนี้ การทำงาน มิได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเทานั้น แต่ฝ่ายค้าน ก็ต้องทำงานด้วยการตรวจสอบเชิงคุณภาพ ต้องเอาข้อมูลมาจับให้มั่น คั้นให้ตาย แล้วประชาชนจะชื่นชอบ
ผศ.วันวิชิต กล่าวถึงนโยบาย “ชิม ช็อป ใช้” ที่ประชาชนให้ความนิยมว่า เป็นวิธีการกระจายเงินสู่ประชาชน ซึ่งวิธีการแบบนี้ ขาดหายไปนาน เพราะต้องนำเงินไปอัดฉีดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ที่ประชาชน ยังไม่ได้รับประโน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดังนั้น เมื่อมีการฉีดเงินเข้าไปในมือประชาชน ความกระชุ่มกระชวยย่อมเกิดขึ้น นำมาซึ่งคะแนนในที่สุด