ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นนทบุรี นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. สืบเนื่องจากนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้ออกมาโชว์หนังสือคำสั่งแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้นำฝ่ายค้านอิสระ หลังได้แถลงออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมาอยู่ในสถานะฝ่ายค้านอิสระ ต่อมาวันที่ 10 ก.ย. พรรคประชาธรรมไทย ก็ได้แถลงออกจากพรรคร่วมรัฐบาลมาอยู่ในสถานะฝ่ายค้านอิสระเช่นกัน ดังนั้น พรรคไทยศรีวิไลย์และพรรคประชาธรรมไทย ซึ่งมี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อจำนวนพรรคละ 1 เสียง จึงตัดสินใจมาทำงานร่วมกันในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านอิสระนั้น
การกระทำดังกล่าว ไม่มีกฎหมายฉบับใดหรือกฎหมายรัฐธรรมนูญใดให้อำนาจไว้ หากแต่เป็นการขัดต่อ ม.106 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้วพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุดเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ นอกจากนั้นยังอาจเป็นการฝ่าฝืน พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 อีกด้วย
ดังนั้น การที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ลงนามสถาปนาตนเองขึ้นมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านอิสระ และนายพิเชษฐ สถิรชวาล ก็ลงนามยอมรับมาเป็นประธานที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านอิสระ จึงอาจขัดต่อ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 และขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 ม.5 ม.160 ประกอบ ม.115 เพราะบุคคลทั้งสองได้ปฏิญาณตนว่าจะรักษาไว้และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการไว้แล้ว การที่มากระทำการอันไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า สส. “ต้องยึดมั่นและธํารงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ซึ่งในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาทั่วโลกมีแต่ผู้นำฝ่ายรัฐบาล กับผู้นำฝ่ายค้านเท่านั้น การแต่งตั้งตนเองเป็นผู้นำฝ่ายค้านอิสระ จึงไม่มีปรากฎในรัฐธรรมนูญและกฎหมายใดๆ จึงอาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งไม่อาจยอมรับได้
กรณีเยี่ยงนี้สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความไปร้องต่อ ป.ป.ช. ให้ใช้อำนาจดำเนินการไต่สวน สอบสวน เพื่อระงับและหยุดยั้งการกระทำดังกล่าวและลงโทษการกระทำที่อาจฝ่าฝืนเสีย นายศรีสุวรรณกล่าวในที่สุด