เมื่อเวลา13.30น. วันที่ 18 พฤศจิกายน ที่พรรคอนาคตใหม่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดแถลงข่าว โดยระบุว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีประเด็นถกเถียงในสังคม นั่นคือการเป็นเจ้าของสื่อของนักการเมือง เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ห้ามไม่ให้ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งถือครองหุ้นสื่อ โดยเจตนารมย์ไม่ต้องการให้นักการเมืองครอบครองสื่อ เพื่อใช้ประโยชน์เป็นคุณแก่ตนเอง และเป็นโทษต่อผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกรณีที่นักการเมืองมีความเกี่ยวพันเป็นเจ้าของสื่อชัดเจนปรากฏที่ทราบกันไปทั่ว แต่ไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายกับนักการเมืองผู้นั้นได้ คือ กรณีคุณวทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ได้ลาออกจากผู้บริหารของสื่อเครือเนชั่น และให้ผู้ที่เป็นสามีดำรงดำแหน่งผู้บริหารแทน ไม่เพียงเท่านั้น สื่อเครือเนชั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ได้กระทำการอันเป็นคุณแก่นักการเมืองและพรรคการเมืองบางพรรค และเป็นโทษแก่นักการเมืองและพรรคการเมืองบางพรรคอย่างเป็นระบบ และอย่างต่อเนื่อง
“เวลาเราพูดถึงเนชั่น ประกอบด้วยเครือเนชั่นกรุ๊ปและนิวส์เน็ตเวิร์ค ซึ่งมีการควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ประกอบด้วย เนชั่น กรุงเทพธุรกิจ,สปริงนิวส์,คมชัดลึก, ทีนิวส์, ฐานเศรษฐกิจ นี่คือเครือข่ายของสื่อที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆขงประเทศ และเมื่อเร็วๆนี้ยังมีการตั้งสถาบันทิศทางไทย พยายามยกระดับและมีการอ้างอิงกันเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในเครือเนชั่น หนึ่งในผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทยนั่นก็คือนายฉาย บุญนาค สามีของวทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และผู้บริหารทีนิวส์ นำโดย นายสนธิญาณ ชื่อฤทัยในธรรม, นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย,นายเวทิน ชาติกุล ซึ่งการอ้างอิงและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไปมา ทำให้เกิดความเป็นคุณ และเป็นโทษแก่พรรคการเมืองบางพรรค” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงวันที่ 1-10 พฤศจิกายน รายการคมชัดลึกของเนชั่น ซึ่งเป็นรายการวิเคราะห์วิจารณ์ข่าว นำเสนอข่าวพรรคอนาคตใหม่ 44.44 % ของเวลารายการทั้งหมดโดยเฉลี่ย รูปแบบรายการคมชัดลึกนั้นเป็นการเชิญคนมาสัมภาษณ์ เพื่อชี้นำความเห็นเชิงลบที่ไม่ใช่ต่อพรรคอนาคตใหม่พรรคเดียว แต่ต่อพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้งหมด บุคคลที่รายการคมชัดลึกเคยเชิญมาสัมภาษณ์ อาทิ ผู้กองปูเค็ม , อุ๊ หฤทัย ม่วงบุญศรี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ทุกท่านทราบอยู่แล้วว่ามีทัศนคติแบบใดต่อพรรคอนาคตใหม่และพรรคร่วมฝ่ายค้าน และไม่เคยเชิญผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไป มานำเสนอด้วยในรายการ อย่างที่สื่อที่มีจรรยาบรรณพึงกระทำ
“เราพบรูปแบบการนำเสนอข่าวของเครือเนชั่น ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ขนาดอดีตผู้บริหารเนชั่นอย่างคุณสุทธิชัย หยุ่น ยังได้แสดงความกังวลในเรื่องเดียวกัน นั่นก็คือการที่เนชั่นที่เป็นสื่อเก่าแก่ หยิบยกนำข้อมูลที่เผยแพร่ ในเพจข่าวปลอมที่มีอยู่มากมายในโซเชียล ขึ้นมาอยู่ในสื่อกระแสหลัก รูปแบบเริ่มจากเพจข่าวปลอมเผยแพร่ ถูกหยิบยกไปเผยแพร่ต่อโดทีนิวส์ ซึ่งเป็นเครือข่าวของเนชั่น และในที่สุดก็ถูกหยิบยกไปพูดในรายการทีวีของช่องเนชั่น ถ้าสื่อมวลชนอ้างเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารโดยไร้ขอบเขต และนำเสนอข่าวปลอมที่ไม่มีการตรวจสอบ สร้างความแตกแยกเกลียดชังในประเทศ แล้วจะรับผิดชอบต่อผลของความแตกแยกเหล่านี้ได้อย่างไร” พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า รัฐบาลตั้งศูนย์ต่อต้าน Fake News ขึ้นมาใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม แต่เท่าที่ผ่านมาเรายังไม่เคยเห็นว่า ศูนย์ต่อต้าน Fake News นี้ได้ต่อต้านจริงๆ หรือเพียงแค่ต่อต้านทำลายข่าวที่เป็นโทษต่อรัฐบาลกันแน่ หลังจากการแถลงข่าวในวันนี้ พรรคอนาคตใหม่จะนำข้อมูลจากเพจข่าวปลอมทั้งหมดที่พรรคอนาคตใหม่รวบรวมได้ เราจะนำไปมอบให้กับศูนย์ต่อต้าน Fake News มอบให้ถึงมือคุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ แล้วเราจะเฝ้ารอดูว่า ศูนย์ต่อต้าย Fake News นี้จะทำอะไรกับข่าวปลอมที่สร้างความแตกแยกในสังคมหรือไม่
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวในประเด็นต่อมาที่เกี่ยวเนื่องกับการถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นคดีความของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคดีการถือครองหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค ของนายธนาธร และในวันนี้ธนาธรได้มอบหมายให้ทีมทนายความ ไปแจ้งความต่อศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ฟ้องร้องคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้ง 7 ท่าน ประกอบด้วย นายอิทธิพร บุญประคอง, นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์, นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย, นายฉัตรชัย จันทร์ไพศรี, นายปกรณ์ มหรรณพ, นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และนายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ในส่วนข้อหาที่ฟ้องต่อ 7 กกต. คือข้อหาประพฤติมิชอบ ที่ไม่ใช้อำนาจในการไต่สวนพยานหลักฐานในการสืบหาข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่ ที่ธนาธรถูกกล่าวหาว่าถือครองหุ้นสื่อของบริษัทวี-ลัค มีเดีย
“กกต. ไม่รอให้การไต่สวน เรียกพยานเข้ามาสอบปากคำของคณะอนุกรรมการ กลับรวบรัดรีบส่งคดีไปยังศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่การไต่สวนของอนุกรรมการจะเสร็จสิ้น เป็นเหตุให้ชวนสงสัยได้ว่า กกต.เร่งรัดคดี โดยมีเหตุจูงใจทางการเมืองหรือไม่ ด้วยเหตุนี้เราจึงตัดสินใจฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้งในข้อหา ประพฤติมิชอบ เร่งรัดไต่สวนคดีทำให้เกิดความเสียหายต่อคุณธนาธร 2 ประการ คือ1.การถูกระงับการเป็นสภาผู้แทนราษฏร 2.เสื่อมเสียชื่อเสียงของธนาธร เนื่องจากทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจไปแล้วว่า ธนาธรได้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งที่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย” น.ส.พรรณิการ์ กล่าว
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เป็นที่ทราบกันดีแล้วในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในส่วนของพรรคอนาคตใหม่ที่มีนายธนาธร เป็นหัวหน้าทีมในการจัดวางยุทธศาสตร์ เนื้อหาและบุคคลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นหัวหอกของพรรคอนาคตใหม่ แต่ลำพังเพียงทีมนโยบาย หรือ ส.ส. เราเชื่อว่าข้อมูลจะไม่เข้มข้น หนักแน่นเท่ากับเราได้ข้อมูลจากพี่น้องประชาชนทุกคนที่มีเบาะแส ซึ่งเบาะแสในที่นี้คือ การทุจริตคอรับชั่น หรือการฮั้วประมูลต่างๆ ไปจนถึงการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ประชาชนสามารถส่งข้อมูลให้กับพรรคอนาคตใหม่ได้ทาง ตู้ปณ. 13 ศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10117 และทาง e-mail : whistlefutureforwardparty.org