นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า หลายพื้นที่ของประเทศไทยมีสภาพอากาศลดต่ำลง ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอยากมาก โดยสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งมีประชาชนพากันเดินทางไปท่องเที่ยวจนแน่นขนัด ส่งผลให้การจราจรติดขัด โดยเฉพาะตามยอดดอยต่างๆ ทางภาคเหนือ อาทิ บริเวณยอดดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ อุณหภูมิติดลบ 1 องศาเซลเซียส มีเหมยขาบหรือแม่คะนิ้งเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ ทั้งดอกไม้ ใบหญ้า ไม่เว้นแม้แต่เก้าอี้ไม้ที่ใช้สำหรับนั่งพักผ่อน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ต่างพากันออกมาถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นนั้น มีทั้งแบบไป-กลับ และพักค้างแรม ส่งผลให้ที่พักมีการจองคิวเต็มแน่นไปจนถึงปี 2563 นอกจากนี้แล้วธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็พลอยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายของฝากของที่ระลึก และรถเช่า
“อากาศที่หนาวเย็นและกำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รวมทั้งช่วงนี้มีวันหยุดหลายวัน จึงมีความคึกคักมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในหลายจังหวัดภาคเหนือ อย่างจังหวัดเชียงใหม่ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ เดินทางท่องเที่ยวกระจายไปยังที่พัก โรงแรม ในพื้นที่ต่างๆ ค่อนข้างมาก
ข้อมูลจากสมาคมโรงแรมไทยภาคเหนือ (ตอนบน) ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ล่าสุด เช้าวันนี้ (9 ธ.ค.) ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ยังคงหนาวเย็นติดต่อกันเหมือนวันก่อน อุณหภูมิหนาวยะเยือกต่ำสุดบริเวณกิ่วแม่ปาน วัดได้ 0 องศาฯ มีเหมยขาบขาวโพลนสร้างความตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยว คาดว่าวันหยุดที่จะถึงนี้และช่วงปีใหม่ ยังจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยอะและใช้จ่ายผ่านโครงการ “ชิมช้อปใช้” กันอย่างต่อเนื่อง” นายชาญกฤชกล่าว
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ได้รับมอบหมายจากนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ติดตามบรรดาร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้บริโภค เช่นการปรับขึ้นราคาที่พักหรือราคาอาหาร เพราะจะเป็นการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว ซึ่งตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มโครงการ ก็ได้พยายามลงพื้นที่ตรวจความเรียบร้อยและเชิญชวนให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง
สรุปยอดการใช้จ่ายรวมตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย.-8 ธ.ค.62 มียอดการใช้จ่ายทั้งสิ้น 20,523 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดจากกระเป๋า 1 จำนวน 11,628 ล้านบาท จากกระเป๋า 2 จำนวน 8,895 ล้านบาท ร้านชิม จำนวน 3,126.5 ล้านบาท ร้านช้อป จำนวน 13,815.2 ล้านบาท ร้านใช้ จำนวน 214.5 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไป จำนวน 3,274.9 ล้านบาท โรงแรม 69.1 ล้านบาท
ด้านกรมบัญชีกลางพร้อมจ่ายเงินคืน (Cash Back) เข้ากระเป๋า G-wallet 2 สำหรับผู้ใช้สิทธิ์ที่ได้ใช้จ่ายเงินจากกระเป๋า G-Wallet 2 ไปแล้ว ซึ่งมีกำหนดจะได้รับเงินคืน (Cash Back) ดังนี้
งวดแรก วันที่ 15 ธ.ค.62 เป็นรอบของผู้ที่ใช้จ่ายระหว่างวันที่ 27 ก.ย.-30 พ.ย.62 งวดสอง วันที่ 15 ม.ค. 63 เป็นรอบของผู้ที่ใช้จ่ายระหว่างวันที่ 1-31 ธ.ค.62 และงวดสาม วันที่ 15 ก.พ.63 เป็นรอบของผู้ที่ใช้จ่ายระหว่างวันที่ 1-31 ม.ค.63
ทั้งนี้เงื่อนไขการได้รับเงินคืน (Cash Back) คือ 15% สำหรับการใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท และ 20% สำหรับการใช้จ่ายตั้งแต่ 30,001 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 50,000 บาท รวมรับเงินคืนสูงสุดไม่เกิน 8,500 บาท โดยผู้ใช้สิทธิ์สามารถตรวจสอบยอดเงินคืนของตนเองได้ที่แอพเป๋าตัง ซึ่งสามารถโอนเงินคืนกลับเข้าบัญชีของตนเองผ่าน Internet Banking ได้ทันที