ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช คณะกรรมการกิจการพิเศษ (กพศ.) พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่รัฐบาลมีนโยบายในการลดการใช้พลาสติก โดยมีโครงการสนับสนุนให้ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้องดให้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic) กับลูกค้า หากในทางกลับกันปี 2561 -2562 ประเทศไทยกลับนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศมากถึง 481,381 ตัน และกำหนดให้มีปริมาณนำเข้าขยะพลาสติกปีละ 70,000 ตัน ซึ่งหลังจากที่ประเทศจีนมีนโยบายห้ามนำเข้าขยะพลาสติก พ.ศ.2561 ทำให้ขยะพลาสติกส่วนใหญ่ ได้เปลี่ยนเส้นทางไปยังประเทศและภูมิภาคที่มีการควบคุมแบบไม่เข้มงวด โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งปัญหาขยะทุกวันนี้ เกิดจากการที่เราขาดการกำจัดและการคัดแยกขยะที่เป็นระบบและถูกวิธี จึงทำให้ไม่สามารถนำขยะพลาสติกเหล่านั้นกลับมารีไซเคิลเพื่อใช้ได้อย่างคุ้มค่า จึงทำให้ขยะพลาสติกในประเทศตกค้างเป็นจำนวนมาก ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะไหลลงสู่แม่น้ำ ลำคลอง และทะเล ดังนั้นรัฐบาลไทยควรดูประเทศสิงคโปร์เป็นต้นแบบ เพราะเค้าสามารถลดปริมาณขยะได้ถึง 90% โดยสิงค์โปร์มีระบบการคัดแยกขยะที่ดี ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ โดยมีการควบคุมอย่างเข้มงวดในการทิ้งขยะ แยกขยะตามประเภทอย่างชัดเจน โดยมีการคัดแยกในทุกขั้นตอนตั้งแต่ รถเก็บขยะ จนถึงโรงงานเผาขยะ เพื่อคัดแยกขยะที่ไม่สามารถเผาได้ ในส่วนที่เผาได้ก็สามารถผลิตกลับมาเป็นไฟฟ้า ในส่วนที่เป็นก๊าซ ก็จะมีระบบการดักจับฝุ่นแบบไฟฟ้าสถิตอีกที เพื่อทำให้ได้อากาศบริสุทธิ์ก่อนที่จะปล่อยออกจากโรงงาน ส่วนขี้เถ้าที่เหลือก็จะถูกส่งไปทำเป็นอิฐเพื่อก่อสร้างถนน
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยากให้คนไทยลดใช้ถุงพลาสติก ก็ควรหยุดการนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ และหันมาสนับสนุนการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ และส่งเสริมการรีไซเคิลอย่างถูกวิธีโดยรัฐบาลควรยกเลิกประกาศ คสช.ที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมสำหรับการประกอบกิจการบางประเภท เพราะหากโรงงานคัดแยกและรีไซเคิล (โรงงานประเภท 105 และ106) สร้างขึ้นโดยไม่มีมาตรฐาน ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันจังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานรีไซเคิลกว่า 6,000 แห่ง และอีก 3,000 แห่งในจังหวัดสมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา รวมทั้งยังมีโรงงานอีกหลาย ๆ แห่งทั่วประเทศ