อาการฉุนกึกของรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล กลายเป็นช่องให้ฝ่ายเห็นต่างได้ช่องโจมตี
แต่การกระทำของนายอนุทิน หากย้อนดูเหตุการณ์ต้องบอกว่าสามารถทำความเข้าใจได้ และน่าเห็นใจเสียด้วยซ้ำ เพราะในขณะที่ภาครัฐรณรงค์เรื่องการใส่หน้ากากอนามัยแบบ 24 ชั่วโมง และคนไทย รวมไปถึงหลายคนตื่นตัว กลับมีฝรั่งมังค่า “บางคน” ที่เพิกเฉย ทั้งยังปฏิเสธความหวังดี
หากย้อนมองการทำงาน นายอนุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ รู้จักไวรัสโคโรนา 2019 ดีไม่แพ้ใคร มีทีมที่ปรึกษาระดับพระกาฬอยู่ข้างกาย นายอนุทินทำงานหนัก เพราะหวังสร้างผลงานจากวิกฤติที่เกิดขึ้น ได้รับเสียงชื่นชม และเสียงด่าทอ
แต่ที่สุดแล้ว
นาย “อนุทิน” ยังสามารถรักษาสถานการณ์ไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ จากประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้ออันดับ 2 ของโลก วันนี้ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่อันดับ 4 และมียอดการรักษาหายอยู่อันดับ 2 มีสูตรยาฟื้นชีวิตแก่ผู้ป่วยหนัก ได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติ
การไม่แบนคนจีน จนถูกด่าเช้าสายบ่ายเย็น แต่ด้วยเวลา จึงพิสูจน์ได้ว่าการตัดสินใจของนายอนุทิน “ถูกต้อง”
เพราะชาติที่แบนจีนอย่างหนัก ก็มิอาจหยุดการแพร่ระบาดได้
และ “จีน” แม้จะป่วย แต่เมื่อพวกเขาหายดี นี่คือพญามังกรที่ควรผูกไว้ซึ่งความสัมพันธ์ ล่าสุด “จีน” ได้ออกแถลงการณ์ขอบคุณประเทศไทยแล้ว
ดังนั้น การที่คนทำงานหนัก และอยู่บนความกดดันสาหัส กว่าจะมาถึงจุดนี้ เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวประมาท ถึงขั้นปฏิเสธรับหน้ากาก ทั้งที่ได้รับแจก
ย่อมจะฉุนกึก
หลายคนพยายามอธิบายว่าวัฒนธรรมของฝรั่ง “บางคน” การใส่หน้ากากคือการยอมรับว่าติดเชื้อ แต่วัฒนธรรมนั้น ใช้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่ในอีกวัฒนธรรม
เมื่อคุณเห็นคนรอบตัวคุณสวมหน้ากากป้องกันโรค คุณยังจะเพิกเฉยอยู่หรือไม่
หากมีจิตสำนึกย่อมรู้ว่าต้องทำอย่างไร ???
ย้อนรอยโรคระบาดที่คร่าชีวิตไปกว่า 50 ล้านคน
หลายคนอาจมองว่าประเทศจีน เป็นแหล่งรวมโรคระบาด จากกรณีไวรัสโคโรนา 2019 ไปจนถึงการวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมการรับประทานอาหารของชาวจีนจากคลิปแทะค้างคาว ที่แม้จะทราบภายหลังว่าคลิปดังกล่าวมิได้เกิดที่เมืองอู่ฮั่น และไม่เกี่ยวกับการระบาดของโรค ทว่ากลับไม่ได้รับความสนใจ
ทั้งนี้ หากศึกษาประวัติศาสตร์การระบาดของโรคให้ดีแล้ว จะพบว่าประเทศจีน รวมถึงประเทศในเอเชียแม้จะพบการระบาดของโรคต่างๆ แต่เทียบไม่ได้เลยกับการระบาดของสารพัดโรคที่เกิดในส่วนอื่นๆ ของโลก
ไข้หวัดใหญ่สเปนคือตัวอย่างที่ดี ไข้หวัดใหญ่สเปน เกิดขึ้นทั้งในฝรั่งเศส และสเปน คร่าชีวิตคนทั่วโลกไปกว่า 50 ล้านคน เกิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ช่วงปี 1918 ชาติในยุโรปเพิกเฉยต่อปัญหานี้อย่างยิ่ง เพราะมองว่าเป็นโรคระบาดปกติ ไม่มีมาตรการสกัดการแพร่กระจายของโรค
ต้องขอบคุณสเปนและสหรัฐอเมริกาที่ตื่นตัวกับการระบาด เพราะพบว่าทหารที่ไปร่วมสงครามหลายนายป่วยไข้หลังจากไปร่วมรบ กระทั่งค้นพบว่าต้องเผชิญกับโรคมรณะ จึงทำการแจ้งเตือนไปยังชาติในยุโรป แบบไม่มีปิดข่าว แต่ด้วยความที่หลายชาติไม่มีมาตรการรับมือ แม้จะได้รับคำเตือนแล้ว แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งโรคได้
หวัดมรณะ มีที่มาจากเชื้อ H1N1 ความร้ายกาจคือไวรัสตัวนี้ มีฤทธิ์ ทำลาย “ไซโตคีน” ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา นั่นก็หมายถึงจุดจบของชีวิต
ความตลกร้ายคือหลังจากเจ้าไวรัสนรก แพร่เชื้อให้คนไปไม่ต่ำกว่า 500 ล้านค้น ปรากฏว่า ไวรัสตัวนี้ก็หายไปเสียดื้อๆ โดย 15 ปีนับจากการหายไปแบบดื้อของเจ้าไวรัสมรณะ เราถึงได้รู้จักว่ามันคืออะไร และค้นพบวิธีรักษาในที่สุด
ไข้หวัดใหญ่สเปนเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของโรคอันตรายที่เกิดและระบาดในยุโรป
หากย้อนกลับไปในยุคอาณาจักรโรมันเอมไพร์ ไข้ฝีดาษคือความหายนะของกรุงโรมอย่างแท้จริง เหตุการณ์ในครั้งนี้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่กรุงโรมมาก มีผู้เสียชีวิตถึงวันละ 2,000 คน ประมาณยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดประมาณ 5 ล้านคน กระจายไปจนถึงจักวรรดิออตโตมัน การแพร่ระบาดในครั้งนี้ยังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงถึงเรื่องของเส้นทางการค้าขาย Indo-Raman Trade ในแถบมหาสมุทรอินเดียด้วย
หลังจากนั้น อีก 100 ปี ยุโรปก็ต้องเผชิญกับโรคระบาดที่ชื่อว่า “กาฬโรค” หนึ่งในเหตุการณ์โรคระบาดที่ร้ายแรง และโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ประเมินจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดถึง 75-200 ล้านคน นับเป็นถึง 1 ใน 3 ของประชากรโลกทั้งหมดเลยทีเดียว ด้วยระบบการจัดการที่เชื่องช้า กลายเป้นว่าศพที่ถูกทำลายไม่ทันนี่เอง ที่เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค และจุดกำเนิดการแพร่
ระบาด โรคกระจายลงทั้งพื้นดิน และแหล่งน้ำต่อไปไม่จบสิ้น
ผู้ป่วยที่ติดโรคนี้จะมีหลายอาการ ขึ้นอยู่กับสถานที่ และช่วงเวลาที่พบ โดยมีลักษณะร่วมคือผู้ป่วยจะมีฝีมะม่วงขึ้นบริเวณข้อพับ ขาหนีบ คอ รักแร้ มีไข้สูง อาเจียนเป็นเลือด และเสียชีวิตภายในเวลา 2-7 วัน
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาโรคดังกล่าวได้ติดมากับชาวสเปนที่เดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ รอบโลก การแพร่กระจายส่งผลให้บางอารยธรรมต้องสูญสลายไป
อาทิ เกาะ Hispaniola แต่เดิมมีจำนวนประชากรประมาณ 60,000 คน แต่จากการมาถึงของนักเดินเรือ Christopher Columbus ในปี 1548 จำนวนชาวเกาะนั้นลดลงเหลือเพียง 500 คน
มิใช่เพียงยุโรปตะวันตกที่อุบัติโรคทำลายมนุษยชาติ แต่ฝั่งยุโรปตะวันออก อาทิ สหภาพโซเวียต ก็มีโรคระบาดสุดอันตรายอุบัติขึ้นเช่นกัน
การอุบัติขึ้นครั้งแรกของเชื้ออหิวาตกโรค เกิดขึ้นที่นี่ มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 1 ล้านคน เชื้อแพร่กระจายผ่านทางน้ำ และอาหาร ติดไปกับทหารชาวอังกฤษที่นำเชื้อโรคไปแพร่ต่อยังประเทศอินเดีย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกล้านคน จากนั้นเชื้อก็แพร่ไปถึงอังกฤษ จากกองเรืออังกฤษไปสู่สเปน แอฟริกา อินโดนีเซีย จีน ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี และอเมริกา กระทั่งการแพทย์สามารถผลิตวัคซีนขึ้นมาเป็นผลสำเร็จในปี 1885
หากใครจะบอกว่าจีนเป็น “แหล่งโรคระบาด” เพียงเพราะเหตุปัจจุบัน
ก็ขอให้ย้อนมองอย่างรอบด้าน
โรคระบาดไม่ได้จำกัดว่าต้องมาจากจีน แต่มาได้กับทุกคน ทุกชาติ
ยิ่งเมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์แล้ว ต้องบอกว่า “อย่าประมาท” จะดีกว่า และน่าจะเข้าใจได้ว่าทำไม “อนุทิน” จึงอารมณ์บูด เมื่อ “ฝรั่งบางคน” ไม่ยี่หระต่อสถานการณ์
Ringsideการเมือง