ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำวิทยาลัยรัฐกิจ ม.รังสิต กล่าวถึงระบบการเมืองไทย ในรอบหลายปีหลังว่า มีลักษณะเป็นระบบ 2 พรรค มีพรรคเพื่อไทย และ ประชาธิปัตย์ เป็น 2 พรรคใหญ่ ที่กุมอำนาจทางการเมือง
ฝ่ายแรกได้เป็นรัฐบาลยาวต่อเนื่อง ขณะที่อีกฝ่ายต้องรอโอกาส ทั้งที่ความจริง พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสียงมามาก มีพื้นที่ในการดูแลมาก แต่กลับไม่มีส่วนร่วมในการบริหารประเทศเลย ย่อมนำมาซึ่งความอึดอัดใจ เกิดความขัดแย้งระหว่างกันอย่างหนัก ที่น่ากังวลคือแต่ละฝ่าย ต่างก็มีฐานมวลชนจำนวนมหาศาล ที่พร้อมจะปกป้องพรรคที่ตัวเองรัก และปฏิเสธอีกพรรค บ้านเมืองย่อมเกิดความแตกแยก
“อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีคนกลุ่มใหญ่ ที่ไม่อยากเห็นบรรยากาศการเมืองแบบเก่าที่พรรคใหญ่พรรคหนึ่งชนะ มวลชนของอีกฝ่ายจะเดินลงมาบนถนน สภาวุ่นวาย ทหารออกยึดอำนาจ
ส่วนตัวแนะนำให้พรรคเล็ก พรรคขนาดกลาง ชุตัวเองเป็นตัวเลือกของคนกลุ่มนี้ โชว์ความตั้งใจทำงาน มีความจริงใจในการสร้างความปรองดอง เพราะด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พรรค sme มีเสียงดังขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่แล้ว
ยิ่งกว่านั้น พรรคการเมืองกลุ่มนี้ ไม่เคยหาเสียงโจมตีใคร สามารถที่จะพูดคุยได้ทุกกลุ่ม น่าจะพยุงให้บ้านเมือง มันเดินต่อไปได้ อย่างน้อยก็ระยะเวลาหนึ่ง ต่างจาก 2 พรรคหลัก ที่การพูดคุยเต็มไปด้วยเงื่อนไข รอวันแตกหักอย่างเดียว
ที่สุดแล้ว มันขึ้นอยู่กับพรรค sme ว่าจะจริงใจ ตั้งใจแค่ไหน ในการเข้ามาเป็นทางออกของชาติ ถ้าจับมือกันประกาศจุดยืน ตนคิดว่าขายได้”
อาจารย์ประจำวิทยาลัยรัฐกิจ ม.รังสิต กล่าวต่อว่า อนาคตนายกรัฐมนตรีคนต่อไป หวังว่าจะไม่ใช่ทหาร เพราะสังคมไทยเดินไปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาจัดระเบียบอีกต่อไป แต่คนไทยกำลังมีปัญหาปากท้อง ขอคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจน่าจะเหมาะสมกว่า
“ปัจจุบัน สังคมไทยมีตัวเลือกแค่ 2 ทางคือ กลุ่มที่พร้อมเดินหน้าชนกับฝ่ายทหาร กับฝ่ายที่พร้อมจะถอนฟืนออกจากกองไฟ ร่วมพาชาติไปข้างหน้าด้วยกัน ตนสนับสนุนแนวทางหลัง อย่ามองว่าเขาเป็นพวกจิ้งจก เปลี่ยนสี เพราะมองอีกมุมหนึ่ง บ้านเมืองเราสูญเสียมามาก ทั้งโอกาส ทั้งเวลา เพราะเราหยุด แล้วสู้กัน มันถึงเวลาที่เราต้องเดินออกไปจากจุดที่เคยทะเลาะเบาะแว้งได้แล้ว”