จากรณีที่โลกออนไลน์รณรงค์ หยุดเติมน้ำมัน ปตท. จะบอกว่าปตท.ไม่สนใจก็ไม่ได้เพราะทำเอาคนปตท.รับรู้ถึงความไม่พอใจของประชาชน เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีการโจมตี ปตท.แค่ไหนก็ตาม ปตท.ไม่เคยออกมาตอบโต้ หรือ อธิบายให้สังคมเข้าใจเพราะปตท.ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่ที่มีความมั่นคงสูง และเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีผลตอบแทนดีเยี่ยม พนักงานที่ทำงานอยู่ใน ปตท.มีรายได้สูงลิ่ว ทั้งเงินเดือนและโบนัส ในขณะเดียวกันหากเป็นผู้บริหารระดับสูงก็จะมีรายได้ต่อปี เกินกว่า 10 ล้านบาท ด้วยรายได้และผลตอบแทนที่พนักงานที่จะได้รับส่งผลให้คน ปตท.ไม่สนใจกระแสสังคม เพราะเชื่อมั่นว่ายังไงคนไทยก็ต้องเดิมน้ำมัน ปตท.อยู่ดี
แต่กระนั้นก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือกระแสที่แรงขึ้น จนส่งผลให้สังคมไทยเริ่มมาฉุกคิด จนอาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของ ปตท.กระเทือนมาก เพราะภาพปั้ม ปตท.ที่ไร้รถยนต์เข้าไปเติมน้ำมัน ความคึกคักของบรรยากาศในปตท.ที่หายไป มีการส่งภาพหลายภาพในโลกโซเชี่ยล การรณรงค์ครั้งนี้มันหนักหนาสาหัส เพราะโลกโซเชี่ยลมันไปทั่วโลก ดังนั้นจึงอาจจะไปกระทบกับภาพของการลงทุนในหุ้นของปตท.ด้วย เพราะความเชื่อมั่นศรัทธาของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่หายไป อาจจะส่งผลต่อราคาหุ้นปตท.ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้ ล่าสุด ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ปรับตัวลดลง 2.26 % นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ ยอมรับว่า ราคาหุ้นของปตท.ที่ปรับตัวลดลงมองว่าเกิดจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากมาการปรับคำแนะนำการลงทุนต่ำกว่าตลาด ซึ่งก่อให้เกิดแรงเทขายออกมา และคาดว่าแรงเทขายจะมีอย่างต่อเนื่อง |
ล่าสุด จากผลที่เกิดขึ้นทำเอา ปตท.อดทนรอไม่ได้ ผู้บริหารระดับสูง มองว่าหากปล่อยไปอาจกระทบกับภาพลักษณ์ได้ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจาหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก “Tevin at PTT” เกี่ยวกับเรื่อง “หยุดเติมน้ำมัน ปตท.” อารมณ์ เหตุผล หรือเจตนาแอบแฝง ? โดยมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นและมีการแชร์ไปเป็นจำนวนมาก โดยมีรายละเอียดพร้อมตอบข้อสงสัยของสังคมด้วย โดยมีใจความว่า
“ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นถึง 20% ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน ดีเซล และ LPG สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกด้วยเช่นกัน ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ มีค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ผู้ที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้คือประเทศผู้ส่งออกพลังงาน ซึ่งก็เคยประสบปัญหารายได้หายไปเมื่อราคาพลังงานดิ่งลงตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว เป็นวัฏจักรที่มีการขึ้นลงเช่นเดียวกับอุสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่และมี lead time นาน
คนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจธุรกิจพลังงานและกลไกตลาดโลก จึงเริ่มมองหาจำเลยที่จะระบายความโกรธแค้นที่เขาต้องเดือดร้อน ใกล้ตัวที่สุดคือผู้ค้าขายน้ำมัน โดยเฉพาะ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ค้าสำคัญในประเทศไทย จนถึงขั้นมีขบวนการรณรงค์ให้หยุดเติมน้ำมัน ปตท.และบิดเบือนต่ออีกว่า ปตท.ก็ไม่เดือดร้อนเพราะขายน้ำมันต่างประเทศเป็นหลัก
ในส่วนที่ต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้จงใจบิดเบือนข้อมูล หมิ่นประมาท และสร้างความเสียหายกับองค์กร ขอแยกไว้ก่อนนะครับ เรามาวิเคราะห์สาเหตุกันดีกว่าว่าเพราะอะไร ถึงเป็น ปตท.ผมรวบรวมได้ 8 ข้อ ถ้าสนใจและมีเวลา อ่านคำตอบด้านล่างนะครับ แล้วจะเห็นว่า ข้อกล่าวหาต่างๆนั้นไม่ตรงกับความจริง ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆหลายคนที่ช่วยออกมาอธิบาย และเตือนสติการใช้อารมณ์เกาะตามกระแสที่จะสร้างความเสียหายกับประเทศ
ข้อเท็จจริงต่างๆเหล่านี้ ได้มีการชี้แจงกับสังคมมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีขบวนการที่ตั้งใจโจมตี ปตท.มาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ต้องคิดต่อว่า? คนที่เข้ามาโจมตี ไม่เข้าใจพื้นฐานของอุตสาหกรรมพลังงานจริงๆหรือ ? เพราะมีคนไทยจำนวนหนึ่ง ที่อ่าน Hate Speech ของขบวนการนี้แล้วคล้อยตาม ตกเป็นเครื่องมือในการบั่นทอนความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และทำลายองค์กรไทยด้วยกันเอง”
นอกจากนี้ นายเทวินทร์ ยังได้อธิบายถึงราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องว่า ปัจจัยของราคาขายปลีกคือ ต้นทุนเนื้อน้ำมันและค่าการตลาดของผู้ค้าที่จะไม่ต่างกัน ที่แตกต่างมากคือภาษีที่แต่รัฐบาลแต่ละประเทศกำหนด สำหรับราคาในประเทศไทย ปั๊ม ปตท.ไม่เคยสูงกว่าปั๊มต่างชาติ และจะต่ำกว่าเป็นบางวัน การขึ้นราคาขายปลีกในประเทศเป็นไปตามราคาตลาดโลก ทั้งนี้ แม้ประเทศไทย ไทยมีโรงกลั่นเอง แต่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่น
“ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา น้ำมันดิบโลกมีราคาสูงขึ้น 20 % ปตท.ปรับราคาขายปลีกเท่าที่จำเป็นเพื่อรักษาค่าการตลาดประมาณ 1.60-1.80 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ 6 เม.ย. ปตท.ปรับขึ้นราคา 6 ครั้ง ราคาต่ำกว่าปั๊มต่างประเทศรวม 9 วัน ธุรกิจค้าขายน้ำมันเป็นตลาดเสรี มีผู้ค้ามากมายกว่า 30 ราย แต่ละรายมีสิทธิตั้งราคาเอง ค่าการตลาด 1.60-1.80 บาท/ลิตร แบ่งให้ Dealers เจ้าของปั๊มแล้ว ยังไม่คุ้มค่าการลงทุน ทุกปั๊มจึงต้องเปิดร้านสะดวกซื้อและร้านค้าอื่นเพิ่มขึ้นเพื่อหารายได้เสริม กำไรทั้งหมดของ ปตท.มาจากธุรกิจน้ำมันเพียง 10% ที่เหลือเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนจำนวนมากในธุรกิจก๊าซ สำรวจและผลิต โรงกลั่นและปิโตรเคมี
ณ สิ้นปี 2560 ปตท.มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น (Total Assets) 2.23 ล้านล้านบาท มีกำไร 135,000 ล้าน คิดเป็นผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) 6 % ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของการทำธุรกิจทั่วไป”
ไม่บ่อยครั้ง ที่ผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. จะออกมาอธิบายแก่สังคม ถึงความเป็นไปของบริษัทอย่างละเอียดยิบ
หรือว่าพลังมวลชนเริ่มสัมฤทธิ์ผลบ้างแล้ว ?
Ringsideการเมือง