ไม่หมู ! ยืมเงินนอกงบ ขยายกรอบคลัง 45% ดันดิจิทัลวอลเล็ต
คืบหน้าไปอีกขั้น กับการเดินหน้านโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่ต้องใช้งบมากถึง 5.6 แสนล้านบาท เมื่อล่าสุด มีการแพล่มจากท่านนายกฯ เศรษฐา แล้วว่า ที่มาของเงิน มาจากการขยายกรอบการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ ให้ไปแตะตัวเลข 45% ของวงเงินจำนวนดังกล่าว
เมื่อพลิกตำราการคลัง สิ่งที่นายกฯเศรษฐา ในฐานะ รมว.คลัง เล็งจะทำคือ การขยายกรอบการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ หรือการใช้จ่ายเงิน ที่ไม่ได้มาจากเงินงบประมาณรายจ่าย เงินรายได้แผ่นดิน เงินเบิกเกินส่งคืน และเงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืน
นั่นก็คือเงินที่อยู่ตามหน่วยงานอื่นๆ เช่น ธนาคารออมสิน, ธกส. เป็นต้น
โดยไปแก้ในมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐฯ
ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมกระทบกบกับการบริหารจัดการของหน่วยงานข้างต้น
ที่ผ่านมา การใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณ เพื่อจัดบริการภาครัฐนั้น เป็นเรื่องปกติ แม้กระทั้งการแก้กฎหมายขยายกรอบการใช้จ่ายขึ้นลง ก็เห็นได้บ่อยครั้ง
ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ เคนมีการขยายกรอบการใช้จ่ายเงินดังกล่าวจาก 30% ไปเป็น 35% แล้วกลับมาที่ 32% มาแล้ว ซึ่งการปรับตัวเลขดังกล่าวนั้น เป็นไปเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤตโควิด และเป็นการปรับขึ้นลงในตัวเลขที่ไม่สูงนัก มีเหตุผลเป็นที่เข้าใจของสังคม และไม่กระทบกับความมั่นคงของแหล่งเงินทุน
แต่การปรับตัวเลข ให้ขยับไปถึง 45% ถือเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดกันให้หนัก
เพราะกระทบกับเสถียรภาพหน่วยงานที่ เป็นแหล่งเงินแน่นอน
นื่คือโจทย์ที่ รมว.คลัง ต้องเผชิญหน้ากับแรงต้านจากบุคลากรในหน่วยงาน ไปจนถึงประชาชน ที่กังวลเรื่องเสถียรภาพการเงินของประเทศ ฝ่ายการคลัง ต้องมีแผนชำระคืนที่เป็นรูปธรรม สามารถโน้มน้าว ให้เกิดความเชื่อมั่นต่อแหล่งเงินทุน และสังคมได้ เพราะถ้าทำตรงนั้น ไม่สำเร็จ รับรองว่าเจอแรงต้าน ถึงขั้นพับแผนแน่นอน
บอกได้คำเดียวว่า ในการแก้ไขกรอบการใช้เงินดังกล่าว พูดได้ การจะไปหยิบยืมเงินจากหน่วยงานอื่นๆ ก็พูดง่าย แต่การจะทำกันจริงๆ นั้น ไม่หมูแน่นอน