ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง นักวิชาการประจำวิทยาลัยรัฐกิจ ม.รังสิต กล่าวถึงประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองว่า เป็นปัญหาใหญ่ เพราะคู่ขัดแย้ง ต่างมีมวลชนเป็นแนวร่วมจำนวนมาก และเชื่อว่า แต่ละฝ่ายมักอ้างเหตุเหตุว่า มวลชน อยากให้ทำอย่างนั้น มวลชนอยากให้ทำอย่างนี้ เมื่อมีโอกาสให้เจรจาหาทางออกชาติ หากเงื่อนไข ไม่ตรงใจก็จะอ้างว่า มวลชน ไม่อยากให้เจรจา โดยน่าสงสัยว่าเป็นความต้องการของมวลชน หรือเป็นความต้องการของแกนนำ
นอกจากนั้น ประชาชนเอง ก็มีความดัดจริต รู้ทั้งรู้ว่าอะไร เป็นอะไร ประเทศไทยเรามีข้อจำกัดตรงไหน แต่ก็พร้อมจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองชื่อ โดยไม่ฟังเสียงของอีกฝ่าย ทั้งที่อาจจะเป็นข้อเสนอที่ดี แต่เมื่อมาจากฝ่ายตรงข้าม เท่ากับผิดหมด
และหากแกนนำ มีอิทธิพลกับมวลชนมาก ขณะที่มวลชนก็เชื่อแต่ข้อมูลฝั่งตนเอง จนปิดกั้นความเป็นอื่น เกรงว่า มวลชนจะมีสภาพไม่ต่างจากตัวประกันทางการเมืองในที่สุด เมื่อนำทุกองค์ประกอบมารวมกันบ้านเมืองเราคงขัดแย้งไม่รู้จบ
“ถ้าทุกฝ่ายสุดโต่งในทางของตนเอง ผมเชื่อว่า มันหมดทางที่เราจะคุยกันได้ มันจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองกลางๆ มาดึงรั้งอารมณ์ของสังคม ให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงบ้าง ว่าเรากำลังอยู่ตรงนี้ โครงสร้างเราเป็นแบบนี้ เราจะทำอะไรได้บ้าง มันเป็นหน้าที่ บทบาท และความจำเป็นของพรรคที่ยืนอยู่ตรงกลาง”
สำหรับบอลโลกปีนี้ นักวิชาการ มองว่าเงียบเหงากว่าทุกปี อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจของประเทศไทยยังซบเซา ประกอบกับผู้ถือลิขสิทธิ์ออกกฎเกณฑ์มากมาย เช่น ห้ามให้สื่อเจ้าอื่น ใช้คำว่าบอลโลกไปโปรโมท เป็นต้น เลยเกิดความวุ่นวายในการสื่อสาร นอกจากนั้นประเทศเจ้าภาพเอง ก็ไมใช่มหาอำนาจของกีฬาฟุตบอล หลายปัจจัยรวมกัน เลยทำให้บรรยากาศบอลโลกในไทยกร่อยกว่าปีก่อน