อย่ากวนคนทำงาน
ต้องถอยกลับมาตั้งหลักพอสมควร สำหรับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับการต่อสายคุยท่านทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เพื่อขอเป็นอีกหนึ่งช่องทางรับประสานช่วยเหลือแรงงานไทย ที่ต่อมาถูกตั้งคำถามว่า “หิวแสง” และ กำลังทำให้การช่วยเหลือของผู้ที่มีบทบาทจริง ต้องอยู่ในสภาวะยากลำบาก
เรื่องของเรื่องคือ หลังเกิดเหตุความรุนแรงที่ประเทศอิสราเอล
นายพิธาโพสต์ว่า
“ผมเพิ่งวางสายโทรศัพท์จากการพูดคุยกับท่านทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย และ พี่น้องแรงงานคนไทยในอิสราเอล จากการประสานของปีกแรงงานพรรคก้าวไกล ได้ทราบมาว่าสถานการณ์มีความรุนแรงต่อเนื่อง และ ได้รับคำขอร้องว่า ครอบครัวของแรงงานที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ไม่สามารถติดต่อญาติที่อิสราเอลได้ และกำลังตกอยู่ในความกังวลอย่างมาก
หากท่านมีญาติไปทำงานที่อิสราเอล และบัดนี้ยังติดต่อไม่ได้ ท่านสามารถระบุชื่อของบุคคล เมืองที่พำนัก มาที่ email : [email protected] เพื่อรวบรวมเป็น database ประสานงานกับ สถานทูตอิสราเอล และ/หรือส่งมอบต่อกระทรวงต่างประเทศต่อไปได้
สุดท้ายขอเป็นกำลังใจและสนับสนุนรํฐบาลและข้าราชการไทยในการคลี่คลายวิกฤตในครั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องชาวไทยในอิสราเอลครับ”
ปัญหาของเรื่องนี้คือ นายพิธา กำลังเปิดช่องทางการช่วยเหลือเข้ามาใหม่ ทั้งที่รู้แก่ใจว่า ข้อมูลทั้งหลายจะต้องไปรวมกันที่ “ส่วนกลาง” เพราะมั่นใจว่า นอกจากรัฐบาลแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถเดินทางไปถึงอิสราเอลได้แน่นอน
แล้วทำไม จึงไม่ให้ข้อมูลของส่วนกลางไปเลย แทนที่จะให้ช่องทางของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น หากมีผู้หวังดีแบบนายพิธา 100 คน มี 100 ช่องทางการรับเรื่องเกิดใหม่ แล้วทั้ง 100 ช่องทางจะถูกส่งไปยัง “ส่วนกลาง” ณ จุดนั้น เราจะมีข้อมูลที่ซ้ำไปมา มากมายมหาศาลเต็มไปหมด ซึ่งมาจาก 100 ช่องทาง
คนทำงานจริงหัวระเบิดแน่นอน
ใครยังรอคอยการช่วยเหลือ ใครได้ช่วยเหลือไปแล้ว มั่วไปหมด
แต่ถ้ามีช่องทางเดียวสำหรับติดต่อ ทุกคนมาที่ช่องทางนั้น ข้อมูลจะไหลรื่นกว่า ระบบคัดกรอง ตรวจสอบ การติดต่อประสาน ไปยังผู้ประสบภัย จนถึงญาต ผู้รอคอย จะมีประสิทธิภาพกว่า
นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของอำนาจหน้าที่ แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติจริง เพราะปลายเหตุอยู่ที่อิสราเอล และจะมีเพียงหน่วยงานกลางเท่านั้น ที่เข้าถึง จึงสมควรอำนวยความสะดวกแก่หน่วยงานกลางด้วย ไม่ใช่สร้างความวุ่นวาย
กรณีนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเรื่องโควิด 19 ซึ่งเรื่องเกิดในประเทศไทย และมีหน่วยงานมากมาย เปิดสายขึ้นมารับเรื่องรอช่วยเหลือ โดยส่วนใหญ่ มีทีมสำหรับลงพื้นที่ช่วยเหลืออยู่แล้ว เรียกว่า จัดการได้เองตั้งแต่รับเรื่อง ยันส่งรักษา โดยไม่ต้องวุ่นวายกับงานของหน่วยอื่น
เข้าใจอารมณ์ของนายพิธา ว่า การเป็นนักการเมือง ต้องรู้จักหาจังหวะ ช่วงชิงพื้นที่ข่าว สร้างคะแนนความนิยม แต่ที่สุด ต้องคิดให้ลึกกว่าการเป็นนักพีอาร์ และขอให้มองมุมของคนทำงานจริงๆ ด้วย