นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยผ่านรายการ “ริงไซด์การเมือง” ถึงความเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มสามมิตรถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถช่วงชิงพื้นที่ข่าวได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้แล้วทำให้พรรคการเมืองตื่นตัวพอสมควร ในการตรวจสอบลูกพรรคของตัวเอง และยังมองว่าเป็นปกติธรรมดาที่หลังจากการปฎิวัติรัฐประหารที่จะมีกลุ่มการเมืองที่จะออกมาสานต่องานของคณะปฏิวัติหรือรองรับคณะปฏิวัติให้มีพื้นที่ทางการเมือง
ดังนั้น การแคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร เป็นอะไรที่หลายฝ่ายต่างจับตามอง เพราะเคลื่อนไหวได้เพียงกลุ่มเดียว ในขณะที่พรรคการเมืองไม่สามารถขยับตัวได้ จึงมองว่ามีความได้เปรียบเสียเปรียบกันเกิดขึ้นในสนามการเมือง ที่สำคัญจะมาอ้างว่าไม่ใช่พรรคการเมืองไม่ได้ เพราะพฤติกรรมของกลุ่มสามมิตรเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองชัดเจน ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องดำเนินการเพราะขัดกฏหมายการชุมนุมเกิน 5 คน ซึ่งทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.คงต้องมาพิจารณาว่าผิดกฏหมายหรือผิดคำสั่งของคสช.หรือไม่
ประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีเรื่องการเมืองมานานกว่า 7-8 ปี ส่งผลให้นักการเมืองต้องทำกิจกรรมในพื้นที่ แต่สุดท้ายทำไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่นักการเมืองลงพื้นที่จะมีเจ้าหน้าที่ทหารออกติดตามและห้ามทำกิจกรรม แม้กระทั่งกรณีที่ทหารไปเจรจากับผู้นำชาวบ้านว่าห้ามเชิญ ส.ส.มางาน เพราะด้วยเหตุผลว่าเกรงจะเกิดความวุ่นวาย ซึ่งนักการเมืองก็ทำตาม แต่ในความเป็นนักการเมืองต้องพบปะประชาชนในพื้นที่ จำต้องลงพื้นที่ตลอด ไม่ให้ไปงานก็ไปที่อื่น แต่จะห้ามผู้แทนราษฏรพบปะประชาชนก็ไม่ได้ นอกกจากนี้แล้ว ประชาชนรู้ว่ากติกาการเลือกตั้งจะเป็นเช่นไร เชื่อมั่นว่าประชาชนรู้ว่าจะเลือกใคร กรณีกลุ่มสามมิตรประกาศว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ส.ส.ประมาณ 200 คนนั้น ไม่รู้ว่านับมาจากฐานข้อมูลไหน เพราะหากนับทุกพรรคแล้วตอนนี้จำนวนส.ส.เกินกว่า 500 คนแล้ว ทั้งๆที่จำนวนส.ส.เขตมีเพียง 350 คนเท่านั้น
นายสรอรรถ ระบุอีกว่า ในปี 2562 คสช.จะจัดให้มีการเลือกตามโรดแมปที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. พูดชัดเจน อีกทั้ง กรณีที่ สนช.ยอมถอยการแก้ไขกฏหมาย กกต.ปมผู้ตรวจการเลือกตั้ง รวมทั้งเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าต้องการการเลือกตั้ง ดังนั้น ไม่น่าจะมีเหตุอะไรที่ทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปอีก ส่วนการโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเตรียมการเลือกตั้ง ตนไม่เชื่อว่าผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งคนใด จะเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองได้ เพราะในการเลือกตั้งผู้ว่าฯจะออกไปสั่งประชาชนเลือกผู้สมัครคนนั้นคนนี้ หรือพรรคนั้นพรรคนี้ไม่ได้ เพราะประชาชนรู้เองว่าต้องการใครเป็นผู้แทนมากกว่า
“การเลือกตั้งครั้งหน้าตนเชื่อว่าทุกพรรคก็คงเดินหน้าในการต่อสู้กันทางการเมือง คงยังไม่มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งจับมือใครก่อนทราบผลการเลือกตั้ง รวมทั้งกติกาการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งเชื่อว่าไม่เปลี่ยนไป คือพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ทุกพรรคต้องเคารพกติกานี้ เว้นเสียแต่พรรคอันดับหนึ่งจัดตั้งไม่ได้ ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคลำดับถัดไปจัดตั้งรัฐบาล ส่วนใครจะไปร่วมกับพรรคไหนหรือไปร่วมกับใครก็ต้องว่ากันหลังเลือกตั้ง”
ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยนั้น นายสรอรรถ กล่าวว่า คงไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะไปจับกับพรรคการเมืองใด หรือจะให้มาบอกว่าจับมือกับพรรคการเมืองนั้นไปแล้วไม่จับกับพรรคการเมืองนี้คงไม่ได้ เพราะเราไม่อยู่ในฐานะผู้เลือก แต่เราอยู่ในฐานะผู้ถูกเลือกมากกว่า แต่สำคัญที่สุดคือนโยบายของพรรคต้องมีการนำมาต่อยอด ซึ่งในการทำงานเป็นรัฐบาลผสมนั้น ในส่วนของนโยบายพรรคต้องมาเฉลี่ยกันทุกพรรค ไม่ใช่ว่าเราไปร่วมกับเขาแล้วไม่ยอมให้พรรคทำนโยบายที่ประกาศ ดังนั้น ก่อนจับมือตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ก็ต้องมีการพูดคุยกัน ในส่วนของนโยบายภาพรวม ซึ่งตนเชื่อมั่นว่านโยบายทุกพรรคการเมืองก็ไม่ต่างกันมากนัก