นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ อดีตแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) เปิดเผยภายหลังการเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ผ่านรายการ “สุมหัวคิด” ทาง VoiceTV21 ว่า ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะตนมีความผูกพันธ์กับพรรคชาติไทยพัฒนามานาน ตั้งแต่เริ่มต้นเข้ามาทำงานทางการเมือง ในสมัยอยู่กับพรรคชาติไทย ก็มีทั้งสอบได้และสอบตก แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจก็ต้องกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า ก่อนหน้านี้ ตนถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองหลังยุบพรรคชาติไทย เนื่องจากตนเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ห่างเวทีการเมืองไป และเมื่อพ้นวาระการตัดสินก็กลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง
การตัดสินใจมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทย เพราะหลังจากที่ทำงานทางการเมืองในพรรคชาติไทยมาในระดับหนึ่ง ก็พบว่าแนวทางในการทำงานของพรรคและแนวทางการทำงานของตนไม่ตรงกัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจำเป็นที่จะต้องมี “ยังบลัด” ในการทำงานด้วย ซึ่งพบว่าที่ผ่านมาไม่ได้รับการสนุนมากนัก จำเป็นที่จะต้องหาพื้นที่ยืนของตัวเองเพื่อเดินหน้าในการทำงานการเมืองแบบสร้างสรรค์
นายสิริพงศ์ กล่าวต่อว่า การตัดสินใจมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเพราะตนมองว่าพรรคภูมิใจไทย มีพัฒนาการที่ดีขึ้น ภาพลักษณ์เก่าๆหายไป แต่มีภาพของการเดินไปข้างหน้าในการพัฒนาประเทศ เริ่มจากกรณีที่ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีและอดีตผู้บริหารพรรคภูมิใจไทย ก็หันหลังให้กับการเมืองแล้วกลับไปพัฒนาพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์อย่างเต็มที่ จนสร้างให้บุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่ติดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ทั้งด้านกีฬาและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ จากการได้พูดคุยกับผู้บริหารพรรคภูมิใจไทย พบว่าการทำนโยบายสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาปากท้อง การเพิ่มเงินในประเป๋าประชาชน รวมไปถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาศึกษา ที่พรรคภูมิใจไทยกล้าที่จะคิดนอกกรอบ ถือว่าเป็นแนวทางที่ล้ำมาก
นายสิริพงศ์ กล่าวด้วยว่า ตนตั้งใจจะสมัคร ส.ส.ในเขตพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมวางแนวทางในการพัฒนาจังหวัดให้เป็นจังหวัดที่มีการพัฒนาทางด้านกีฬาเพิ่มมากขึ้น ตั้งใจเอากีฬามาเป็นจุดขายของจังหวัด ทั้งนี้เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี ดังนั้น การที่ตนเลือกมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยน่าจะตอบสนองความต้องการของประชาชนและตอบโจทย์ของประชาชนได้ ซึ่งแนวคิดของพรรคภูมิใจไทยนั้น ตนมองว่าเป็นแนวคิดที่สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาพื้นที่และช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ จึงตัดสินใจมาทำงานร่วมกับพรรคในที่สุด